นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงใช้นโยบายเข้มงวดโดยปรับขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 4.5% ปลายปี 2022 ก่อนจะหยุดขึ้น เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลให้การบริโภคทั่วโลกชะลอตัวลง จากผลของความเข้มงวดของนโยบายการเงินและการคลัง
“ผมมองว่า เศรษฐกิจประเทศใหญ่จะถูกปรับลดจีดีพี โดย DBS Bank คาดเศรษฐกิจสหรัฐปี 2023 โตเพียง 0.3% ยุโรปโต 1% ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นโตเร่งตัวขึ้นในปี 2023 เป็นบวก 1.8% หนุนโดยภาคบริการ หลังเปิดรับนักท่องเที่ยว ด้านเศรษฐกิจจีน โตดีขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการจัดการโควิด ส่วนกลุ่มอาเซียน ยังขยายตัวดี โดดเด่นคือเวียดนาม”นายธนวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ ดีบีเอสเชื่อว่าถ้าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็จะเป็นแบบไม่รุนแรง (mild recession) โดยปัจจัยสนับสนุนความคิดเห็นที่สำคัญคือ ระบบเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้เปราะบางเหมือนอดีต ดูจากหนี้ครัวเรือนลดลงจากในอดีตมาก และตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง อัตราว่างงานต่ำ 3.5%
นายธนวัฒน์กล่าวว่า อัตราการขยายตัวจีดีพี มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผลตอบแทนในภาคธุรกิจ (GDP growth & corporate earnings) สมมติฐานว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสเข้าสู่ช่วง “mild recession” และจะทำให้ผลตอบแทนของ corporate ลดลงไป 6% ก็ได้สะท้อนเข้าไปในสภาวะตลาดปัจจุบันแล้ว ในขณะที่ forward PE ที่ลดลง ได้เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงเริ่มเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว
โดยมองหุ้นกลุ่ม Luxury brands มีความน่าสนใจ แม้ทิศทางการบริโภคจะชะลอลง แต่กลุ่ม Luxury จะได้แรงหนุนจากความมั่งคั่ง ( wealth) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในลูกค้ากลุ่มใหม่ๆเช่นกลุ่ม millennial และกลุ่มชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น เช่นในจีน รวมทั้งสามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังลูกค้าได้
ขณะที่ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ชอบกลุ่ม Medical devices ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูง จากนวัตกรรมใหม่ๆและ ageing population กลุ่ม Healthcare มีลักษณะเป็น “defensive growth” คือเป็นทั้ง defensive และยังมี growth ในระยะยาว กลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ (medical devices) มีแนวโน้มขยายตัวสูง จากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆและการขยายจำนวนเตียงในเอเชียเช่นจีน
“การลงทุนในหุ้น คงต้องรอจังหวะผลตอบแทนพันธบัตร ถึงจุดพีค (เมื่อ Fed ส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ย) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่ม growth โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี โดยดีบีเอส แนะเพิ่มน้ำหนัก หุ้นในตลาดอาเซียน และ ญี่ปุ่น แต่ยังคงปรับลดน้ำหนัก หุ้นยุโรป”นายธนวัฒน์กล่าว
ส่วนตลาดตราสารหนี้ มองอัตราผลตอบแทน (yield ) ทั่วโลกที่ปรับสูงขึ้น ตราสารหนี้ระดับลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมีความน่าสนใจ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจเลือกตราสารหนี้กลุ่ม high yield ในตลาดพัฒนาแล้วเข้าพอร์ตบางส่วนเพื่อดึง yield พอร์ตขึ้น
อย่างไรก็ตามยังต้องระหวังความเสี่ยง จากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, การเมืองระหว่างประเทศ, เทคโนโลยี, สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม, การลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดโดยรวม
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น Q4/2022 ได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีเกินคาด โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปีนี้มีโอกาสทะลุ 10 ล้านคน
รวมทั้งจะมีเม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ที่มีฐานะการคลังที่แข็งแรงและเศรษฐกิจฟื้นตัวดี ซึ่งไทยน่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการลงทุน ถ้าไม่มีปัญหาการเมืองรุนแรง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ที่ระดับ 1680 จุด และเป้าหมายดัชนีปีหน้าที่ระดับ 1750-1800 จุด
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปในช่วงครึ่งหลังปี 2022 และปี 2023 ที่มีความเสี่ยงชะลอตัว ไปจนถึงการถดถอย นอกจากยังได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน ธัญพืช และอาหาร ที่มีโอกาสพุ่งขึ้นรอบใหม่ จากปัจจัยฤดูหนาวและผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ส่งผลให้วิตกเงินเฟ้อสูงอีกรอบ
ขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างเร่งตัวในช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบาง ทำให้มีความเสี่ยง NPL สูงขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับตัวสูงสุด ในช่วง 3Q/22 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงสุดใน 4Q/22
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทย นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวว่า ภาคการส่งออกช่วง 8 เดือนของปี 2022 เติบโต11 % ขณะที่ขาดดุลการค้าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะเดือนสิงหาคม 2022 ขาดดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากการนำเข้าสินค้าพลังงานที่มีราคาสูง ซึ่งแม้ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นตัวแต่อาจไม่สามารถชดเชยการขาดดุลการค้าในปีนี้
ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ทั่วถึง (เป็น K Curve) สำหรับการเมืองไทย การชุมนุมประท้วงเริ่มกลับมาหลังโควิดคลี่คลาย แต่ถ้าไม่มีปะทะรุนแรง ก็จะกระทบไม่มาก และในอีกแง่หนึ่ง การลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งรอบใหม่ ทำให้เม็ดเงินสะพัดดีขึ้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกและทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว (เมื่อคาดการณ์ลมพายุไม่ได้อย่างแน่นอน ก็ต้องสร้างเรือที่แข็งแกร่งไว้รองรับ)
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมของอุตสาหกรรมและหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งสามารถฝ่าด่านดอกเบี้ยสูง ในภาวะเศรษฐกิจชะลอได้ ที่โดดเด่นคือ
นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่าทิศทางหลักของตลาดฯในไตรมาส 4/2565 ยังคงผันผวน และอ่อนตัวลงเป็นหลัก (การปรับขึ้น ก็อาจมีได้ แต่จะเป็นไปในลักษณะของการรีบาวด์ฯทางเทคนิคเท่านั้น จากนั้นก็จะเป็นการอ่อนตัวลงต่อ) โดยคาดการณ์ว่าดัชนีน่าจะมีการปรับลงเพื่อทดสอบแนวรับ(ย่อย) ที่ระดับ 1520 – 1500 หรือ 1450 (1400) จุด แล้วจึงจะเปลี่ยนทิศทาง (หรือรีบาวด์ฯ) อีกครั้งตามมา
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนี SET50 จะมีการรีบาวด์ โดยระวังแนวต้าน 963/973-970/980 หากยังไม่ผ่านระวังการลงรอบใหม่ การลงหลุด 930 จะเป็นสัญญาณลงต่อมีแนวรับถัดไป 900/875
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 2 ปี ปรับขึ้นสู่ระดับพีคเข้าใกล้ช่วง DotPlot ของเฟดที่ 4.4%-4.6% บ่งชี้ว่าตลาดรับรู้เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไประดับหนึ่ง ทำให้ Yield ลดลง หุ้นเด้งสั้นได้เป็นระยะๆ แต่ตลาดหุ้นที่จะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นจะใช้เวลามากกว่า 6 เดือนจึงจะเห็นผลกระทบ การลงทุนในหุ้น ระยะกลางยังต้องระมัดระวัง
สำหรับทิศทางทองคำ มีแนวโน้ม กลับมาทะลุ 1680/1700 แนวต้านที่แข็งแกร่งได้ มีแรงส่งต่อ แต่ช่วงสั้นก็จะมีแนวต้านที่ 1735/1750 และ 1800 ที่ทำให้ชะลอตัวลง หากยังเป็นบวกต้องไม่กลับไปหลุดต่ำกว่า 1680 อีกมิฉะนั้นมีโอกาสทำจุดต่ำสุดใหม่ ค่าเงินบาท หากการพักฐานต้องไม่หลุด 37+/-0.2 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จึงจะขึ้นรอบใหม่ และแนวต้านถัดไป 39.5/40 หากหลุดต่ำกว่าเปลี่ยนแนวโน้มเป็นแข็งค่า