ตลาดหุ้นเวียดนามถล่ม วิกฤติหรือโอกาส

15 ต.ค. 2565 | 07:03 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ต.ค. 2565 | 14:07 น.

ตลาดหุ้นเวียดนามถล่ม วิกฤติหรือโอกาส บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า โลกในมุมมองของ Value Investor

 

ในช่วงที่โลกกำลังประสบกับปัญหาสารพัดซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยเฉพาะของอเมริกาและประเทศสำคัญทั้งหลายถดถอยและลดต่ำลงจนกลายเป็น “วิกฤติ” นั้น  ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามซึ่งเคยเป็น  “ดารา” และให้ผลตอบแทนสูงแทบจะที่สุดในโลกถึงสิ้นปีที่แล้วก็ตกลงมาแบบ  “ถล่มทลาย” เช่นเดียวกัน  

 

โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา  และถ้านับจากต้นปีถึงช่วง 3-4 วันนี้ ดัชนีได้ตกลงมาจากประมาณ 1,500 จุดเหลือเพียง 1,000 จุด หรือลดลงประมาณ 33% แล้ว  ทั้ง ๆ  ที่เวียดนามไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โต  เศรษฐกิจเวียดนามเองไม่ได้ถดถอย  ว่าที่จริงเศรษฐกิจเวียดนามกำลังเติบโต  “เป็นบ้า”  ไตรมาส 3 ของปีนี้ที่เพิ่งประกาศตัวเลขนั้น GDP โตถึง 13.7% รวม 3 ไตรมาสก็โตถึง 8.8% สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2011

 

สิ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามตกลงมาเป็นวิกฤตินั้น  นอกจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่มาจากต่างประเทศแล้ว  เหตุผลที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือ  การที่ทางการเวียดนามจับนักลงทุนและผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนรวมถึงผู้ควบคุมกฎเช่น ผู้บริหารของ กลต. และตลาดหลักทรัพย์ ที่มีการฉ้อฉลและทำผิดกฏของการออกและซื้อขายหลักทรัพย์

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรและการปั่นหุ้นในหลาย ๆ  กรณีในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา  นั่นทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นซึ่ง 90% เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่เข้ามาเล่นแบบเก็งกำไรตกใจเทขายหุ้นทำให้หุ้นตกหนักและส่งผลให้นักลงทุนที่ใช้มาร์จิน ซึ่งมีจำนวนมากต้องขายหุ้นตามเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟอร์ซเซล  ผลก็คือ  ตลาดหุ้นถล่ม 

 

และทุกครั้งที่ตลาดเกิด “วิกฤติ”  สิ่งที่นักลงทุนจะต้องวิเคราะห์ก็คือ  มันเป็น “ภัยคุกคาม” ที่จะต้องหนีหรือขายหุ้นทิ้ง  หรือเป็น  “โอกาส” ที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่ตกลงมามากมายทั้ง ๆ  ที่มันไม่ได้มีปัญหาหรือถูกกระทบอะไรมาก  และเมื่อสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ  ผ่านไป  ราคาหุ้นก็จะปรับตัวกลับขึ้นมาเท่าเดิมและโตต่อไปอีกยาวนานโดยเฉพาะถ้ามันเป็นหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก”

 

คำตอบของผมชัดเจนว่า  นี่เป็นโอกาสที่น่าจะหาได้ยากตั้งแต่นักลงทุนไทยเริ่มสนใจและเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในรอบหลายปีที่ผ่านมา  ลองมาดูเหตุผลกัน

 

โอกาสในการเข้าช้อนซื้อ ?

 

ข้อแรก  พื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนามนั้นแข็งแกร่งและจะไม่ถดถอยลงเหมือนประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศที่ “โตเร็ว” อื่น ๆ  แม้ว่าเวียดนามจะมีการส่งออกสินค้าสูงมากและปริมาณมากที่สุดไปยังตลาดสหรัฐที่เศรษฐกิจกำลังถดถอยลง เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิงเพื่อปราบเงินเฟ้อที่รุนแรง แต่การส่งออกของเวียดนามก็ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอานิสงค์จากความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่น  และสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนก็ช่วยสนับสนุนให้เวียดนามค้าขายได้มากขึ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เวียดนามได้เปรียบดุลการค้าประมาณ 6.5 พันล้านเหรียญในช่วง 9 เดือนปี 2022 นี้ และก็น่าจะยังเป็นบวกต่อ ๆ ไปในปีนี้และปีหน้า

 

ที่สำคัญมากยิ่งกว่าการส่งออกก็คือ  การเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศที่โตขึ้นแบบก้าวกระโดดอานิสงค์จากการเปิดเมืองหลังโควิด  ซึ่งแทบทุกเซ็กเตอร์รวมถึงภาคบริการเช่นในเรื่องของอาหารและการค้าปลีกเติบโตเกิน 20% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับ “ต่ำ” ที่ 2.7% ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา

 

ผมได้คุยกับกลุ่มนักลงทุน VI ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปทัวร์เวียดนามและพบปะผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง  สิ่งที่พวกเขาพบก็คือ บรรยากาศที่เวียดนามคึกคักมาก  ภัตตาคารและสถานบริการกลางคืนเช่นบาร์ทุกแห่งเต็มหมด  ต้องจองล่วงหน้าถึงจะเข้าไปใช้บริการได้  ถนนหนทางเต็มไปด้วยรถและผู้คนที่คนส่วนใหญ่ถึง 90% เลิกสวมหน้ากากกันโควิดแล้ว  ไม่ต้องพูดถึงห้างร้านหรือช็อปปิ้งมอลที่คึกคักกลับสู่ภาวะปกติแล้ว  ในขณะที่สนามบินในส่วนของการบินภายในประเทศนั้น  ขณะนี้แน่นกว่าช่วงก่อนโควิดไปแล้ว  ทั้งหมดนั้นทำให้การคาดการณ์ GDP ปีนี้และปีหน้าโต 6.5% และ 6.7% ตามลำดับ

 

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมคิดว่าการเข้าไปลงทุนในช่วงนี้น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะไม่เกิน 2-3 ปีขึ้นไปก็คือการที่ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในขณะนี้  “ถูกมาก” ค่า PE ของตลาดน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10-12 เท่า  และนั่นรวมถึงค่า PE ของ “ETF Diamond” กองทุนหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ประกอบด้วยหุ้นที่มี Foreign Premium ประมาณ 20 ตัว ที่มีค่า PE ประมาณ 10 เท่า เท่านั้น

 

การคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงซัก 1 ปีข้างหน้าซึ่งอาจจะเป็นตัวถ่วงไม่ให้หุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้าได้ นั้นก็ดูไม่น่าห่วง  เพราะบริษัทขนาดใหญ่ส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนว่าจะโตเป็นเลขสองหลัก ดังนั้น  ก็ไม่น่ากลัวว่าค่า PE ที่ต่ำในวันนี้จะสูงขึ้นในวันข้างหน้าเพราะกำไรของบริษัทลดลง

 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดสำหรับหุ้นเวียดนามหลังจากนี้ดูเหมือนจะอยู่ที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่มีการปรับขึ้นทีเดียวถึง 1% จาก 4% เป็น  5% และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  อัตราดอกเบี้ยทั่ว ๆ  ไปที่รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารมีการปรับตัวขึ้นไปสูงมาก  

 

ขนาดที่บางแห่งให้ดอกเบี้ยปีละ 7-8% ซึ่งทำให้น่าสนใจมากที่จะฝากเงินแทนที่จะไปลงทุนอย่างอื่นรวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้น  และถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงนี้ดำรงอยู่นานมากอย่างที่เคยเป็นในอดีตของเวียดนาม  นี่อาจจะทำให้การลงทุนในหุ้นน่าสนใจน้อยลงและหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นไปสูงต่อเนื่องยาวนานยากขึ้น

 

สถานการณ์ทั้งหมดซึ่งรวมถึงการจับการปั่นหุ้นและการฉ้อฉลในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปก่อนปี 2540 ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง  หรือเป็นช่วงประมาณ 22 ปีแรกของตลาดหุ้นไทยเหมือนกับช่วง 22 ปีของเวียดนามวันนี้  เพราะมันมีความละม้ายคล้ายกันมากในแง่ที่ว่า  ตลาดหุ้นยังไม่  “Mature” หรือยังไม่พัฒนาพอ   การควบคุมมีความหละหลวม  และเมื่อตลาดหุ้นบูมก็จะมีการปั่นหุ้นและการฉ้อฉล  และเมื่อถึงจุดหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อหุ้นตกลงมาแรงก็จะมีการจับกุมคนทำผิด  หรือบางทีก็เพราะมีการจับคนทำผิด  หุ้นก็เลยตกลงมาแรง

 

ในด้านของนักลงทุนเองนั้น  ก็แทบจะมีแต่นักเล่นหุ้นรายย่อยเก็งกำไรที่พร้อมจะเข้าและออกทันทีที่ได้ยิน “เสียงนกหวีด”  ดังขึ้นและมีคนร้องตะโกนว่า  “ไฟไหม้”  แค่เห็นควันดำปลิวเข้ามาทางประตูหรือหน้าต่าง  ในขณะที่มีนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันเพียงน้อยนิดที่ไม่มีกำลังอะไรที่จะต้านกระแสหรือพลังของนักลงทุนจำนวนมหาศาลไม่ว่าจะทางดีหรือทางร้าย

 

ในด้านของเศรษฐกิจมหภาคเองนั้น  ประเทศไทยยุคนั้นก็มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากไม่แพ้อัตราของเวียดนามในวันนี้  ซึ่งก็ทำให้การฝากเงินในธนาคารเป็นการลงทุนที่ไม่เลวหรืออาจจะเรียกว่าดีเลยแหละ  เพราะได้ผลตอบแทนปีละเป็น 10% โดยที่  “ไม่มีความเสี่ยง”  เพราะรัฐบาล “ค้ำประกันเงินฝาก”   ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลเวียดนามออกมาบอกว่าจะค้ำประกันเงินฝากให้ประชาชนที่แห่ไปถอนเงินจากแบ้งค์ที่กำลังมีปัญหาผู้บริหารถูกจับเพื่อป้องกัน  “Bank Run” หรือธนาคารล้มเพราะไม่มีเงินพอให้ถอน