ภาษีขายหุ้น : จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 พ.ย. เห็นชอบการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอัตรา 0.10% ตามหลักการที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในปีแรกจะจัดเก็บเพียงครึ่งหนึ่งหรือในอัตรา 0.055% โดยจะออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ฉบับที่.. พ.ศ. ....และจะจัดเก็บเมื่อพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ขณะที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวานนี้ ( 7 ธ.ค. 65 ) ยืนยันเดินหน้านโยบายดังกล่าว โดยกล่าวว่า การเก็บภาษีขายหุ้น เป็นนโยบายที่กระทรวงการคลังได้เสนอครม. และผ่านความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีที่นักลงทุนรายย่อยจะมีการประท้วงต่อนโยบายดังกล่าวด้วยการหยุดการซื้อขายหุ้นในวันที่ 8 ธ.ค.นั้น เรื่องดังกล่าว เราคงไปห้ามเขาไม่ได้
ทั้งนี้ แนวทางการจัดเก็บภาษีหุ้น ก็เป็นในแนวทางเดียวกันกับหลายประเทศ และไม่ได้จัดเก็บในอัตราที่เกินกว่าหลายประเทศจัดเก็บ ดังนั้น กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวต่อไป
ล่าสุดวันนี้ (8 ธ.ค.65 ) นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ " ระบุว่า #ภาษีขายหุ้นที่จะได้ไม่คุ้มเสีย ในขณะที่ตลาดหุ้นทั้งในไทยและในต่างประเทศ ยังตกลงต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก การเก็บภาษีหุ้นจึงไม่เหมาะสม และได้ไม่คุ้มเสีย
พร้อมยก 7 เหตุผล
นางนฤมล ระบุอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากจะเป็นแหล่งระดมเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการแล้ว ยังทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลนำส่งรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 80% ของบริษัทเอกชนที่เสียภาษีในประเทศไทย และยังทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทย มาเป็นเวลากว่า 48 ปี
รายได้ภาษีขายหุ้นที่รัฐคาดว่าจะได้รับประมาณ 1.6-2 หมื่นล้าน จะไม่คุ้มค่ากับผลลบที่จะเกิดกับตลาดทุน แหล่งระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเติบโตเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจของประเทศ