ดีเลิศหรือเลวร้าย ต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว

17 ธ.ค. 2565 | 12:18 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2565 | 19:32 น.

"ดีเลิศหรือเลวร้าย ต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว" บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor

 

 

ช่วงเร็ว ๆ  นี้  ผมและสมาชิกในครอบครัวซึ่งมี 7 คนรวมถึงเด็กอายุเพียง 2 เดือนต่างก็เจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไวรัสที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก  ผมเองเริ่มจากโควิด  หลังจากหายได้ประมาณเดือนสองเดือนก็ติด RSV ซึ่งก็เป็นโรคหวัดอีกแบบหนึ่งที่ติดกันได้ง่ายมากพอ ๆ  กับโควิด แต่อาการไม่รุนแรงเท่า  อย่างไรก็ตาม  ทั้งสองโรคกว่าจะหายก็ใช้เวลาเป็นประมาณ 10 วัน  และยังมีผลข้างเคียงตามมาอีกหลายวัน รวมแล้วเป็นเดือนที่ต้องทรมานอยู่กับโรค

 

ช่วงที่เป็นนั้น  ผมก็ได้แต่คิดว่า  บางทีโลกเราอาจจะ “เปลี่ยนไปจากอดีต” เราอาจจะต้องผจญกับการติดโรคที่สามารถติดต่อกันทางอากาศและการสัมผัสได้ง่ายขึ้นมาก  การท่องเที่ยวหรือพบปะผู้คนใกล้ชิดอาจจะทำไม่ได้เหมือนเดิม  การติดเชื้อหรือเป็นโรคซ้ำอาจจะทำให้อาการหนักขึ้นจนเป็นอันตรายอย่างที่ “ผู้เชี่ยวชาญ” พูดกัน  ครอบครัวที่อยู่กันถึง 7 คนไม่รวมพี่เลี้ยงเด็กและแม่บ้านอย่างบ้านผมก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทวีคูณ  ไม่สนุกเลย!

 

แต่ความคิดแบบนั้นจะเป็นจริงหรือ? โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือเปล่า?  โควิด-19 จะอยู่กับเราและเราจะติดได้ง่าย ๆ  และเป็นอันตรายเพิ่มเมื่อติดซ้ำและถ้าเป็นหลายครั้งเข้าอาการของเราจะหนักขึ้นจนอาจจะต้องตายในที่สุดหรือ?  พูดตามตรง  ผมก็ไม่รู้  แต่ถ้ามองย้อนหลังกลับไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ผมเกิดมา  โอกาสที่เราจะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นยาวนานก็น่าจะมีน้อยมาก  

 

แม้แต่ปรากฎการณ์ไข้หวัดสเปนเมื่อ 100 ปีที่แล้วที่คนตายเป็นล้าน ๆ คนและมนุษยชาติก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขหรือป้องกันอย่างไรก็หายไปจากโลกในเวลาไม่นาน  ดังนั้น  สิ่งที่ผมกลัวหรือกังวลคงจะเกิดขึ้นเพราะผมกำลังประสบกับความเลวร้าย “ในขณะนั้น”  ซึ่งก็มักจะทำให้จิตใจคิดว่า “มันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”
 

 

จิตวิทยาของนักลงทุนก็เช่นเดียวกัน  เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงและเจ็บปวด “เป็นปี” อย่างเรื่องอัตราเงินเฟ้อหรือดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่อง  ถึงวันหนึ่งเขาก็จะคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น “ตลอดไป” และหุ้นก็จะต้องตกต่อเนื่องไปอีกนาน  ว่าที่จริงวันที่เขาคิดนั้น  หุ้นอาจจะตกลงไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งก็ทำให้เขาบาดเจ็บอย่างหนักและอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดว่าเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะอยู่ต่อไปอีกนาน  สภาพคล่องจะหายไป  และหุ้นก็จะถูกขายและตกลงมาอย่างไม่รู้ว่าจะถึงพื้นตอนไหน

 

แต่ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น  มองย้อนหลังไปเกือบ 50 ปีในตลาดหุ้นไทยและกว่าร้อยปีในตลาดหุ้นอเมริกาก็จะพบว่า  ในที่สุด บางทีแค่ 2-3 ปี เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมาและตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว น้อยครั้งที่เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงอยู่นานมาก  ว่าที่จริง  ธนาคารกลางสหรัฐก็คงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น  เพราะจะทำให้เศรษฐกิจพังพินาศ 

 

ดังนั้น  อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นผิดจาก “ปกติ” มากนั้น  เป็นเรื่อง “ชั่วคราว”  นักลงทุน  “ระยะยาว” ที่มักจะลงทุนในหุ้นแต่ละตัวหรือลงทุนเป็นพอร์ตระยะยาวเกิน 3-5 ปี ขึ้นไปนั้น  จึงแทบไม่ต้องสนใจว่าเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะเป็นเท่าไร   เพราะเราจะถือหุ้นผ่านช่วงเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติไปอยู่แล้ว  และก็แน่นอนว่ามักจะผ่านช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำเพราะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกตินั้นด้วย


 

เช่นเดียวกับเรื่องเลวร้าย  เรื่องดี ๆ ต่อตลาดหุ้นเองก็มักจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” การอัดฉีดเงินจำนวนมากของรัฐบาลต่าง ๆ  ให้แก่ประชาชนเพื่อลดผลกระทบจากโควิด  ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินเหลือล้นและอัตราดอกเบี้ยต่ำลง   และทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลเข้ามาเล่นหุ้นและหลักทรัพย์เก็งกำไรเช่นเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ มากขึ้นมหาศาล  ได้ส่งผลให้หุ้นและตราสารเก็งกำไรต่าง ๆ  ปรับตัวสูงขึ้นมาก  การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและ “บ้าคลั่ง”  ต่อเนื่อง “เป็นปี ๆ” นั้น  ได้ทำให้คนที่ทำกำไรจากการลงทุนเป็นกอบเป็นกำอย่างง่าย ๆ นั้นคิดว่า  โลก “กำลังเปลี่ยนไป-ตลอดกาล”  และ “คุณค่าของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สิน”  นั้น  ไม่จำเป็นที่จะเป็นตัวกำหนดราคาหุ้น

 

พูดง่าย  ๆ  พวกเขาเชื่อว่าราคาหุ้นก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ  และก็ไม่ต้องห่วงว่าราคาจะแพงเกิน “พื้นฐาน” ที่คิดจาก “ผลประกอบการของกิจการ” ไปมากมาย หุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับพวกเขาเองที่จะซื้อหรือขาย  โดยที่การจะซื้อหรือขายนั้น  อาจจะขึ้นอยู่กับสตอรี่หรือเรื่องราวที่พวกเขา “เชื่อ” โดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลและตัวเลขที่หนักแน่นมารองรับ  

 

ในกรณีของบิทคอยน์เองนั้น ช่วงที่มันมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างรวดเร็วนั้น คนจำนวนมากที่ได้กำไรมากมายต่างก็คิดว่า  บิทคอยน์ 1 เหรียญอาจจะมีราคาเป็นล้านดอลลาร์ก็ได้ เพราะอนาคตมันจะ “แทนเงินเฟียตทั้งโลก”

 

ผมคงไม่ต้องบอกว่าสถานการณ์ช่วงโควิด-19 ที่ดีมากๆ  ต่อตลาดหุ้นโดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐและอีกหลายแห่งของโลกนั้น เป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ที่นักลงทุนน่าจะคาดการณ์ได้  เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลแทบทุกประเทศจะอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบ ในขณะที่คนทำงานน้อยลงเพราะต้องถูก  “ล็อกดาวน์” อยู่เป็นครั้งคราวเป็นระยะเวลายาวนาน  ถ้าเป็นแบบนั้น ในที่สุดเงินก็ต้องเฟ้อและดอกเบี้ยก็จะต้องเพิ่ม  ซึ่งก็จะทำให้หุ้นตก  และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังจากเวลาผ่านไป 2 ปีที่นักลงทุน “เชื่อ”ไปแล้วว่าสถานการณ์ที่หุ้นขึ้นอย่างบ้าคลั่งเพราะการเก็งกำไรจะอยู่กับเราตลอดไป

 

ประเด็นสำคัญที่จะต้องเข้าใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  อะไรคือ “ดีเลิศ” หรือ “เลวร้าย” ที่จะเป็นเรื่อง  “ชั่วคราว” ที่นักลงทุนระยะยาวอาจจะไม่ต้องสนใจเพราะ “มันจะผ่านไป”  

 

ผมเองคิดว่าจะต้องเปรียบเทียบกับ  “ภาวะปกติ” ซึ่งก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ของเวลาที่ผ่านมา  ตัวอย่างเช่น  อัตราดอกเบี้ยปกติของอเมริกาในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 3% หรือถ้ามองย้อนหลังไป 60 ปี ก็อาจจะขึ้นไปถึง 6%  ดังนั้น  เราก็อาจจะพูดว่าช่วงเวลาย้อนหลังไป 10 ปีที่ดอกเบี้ยเหลือเพียงไม่ถึง 1% เป็นช่วงเวลาที่ “ดีเลิศ” และเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ที่ยาวมาก  ในขณะที่ช่วงเวลานี้ที่อัตราดอกเบี้ยที่ 4% และกำลังจะขึ้นต่ออีก 1% นั้น  เป็นช่วงที่เลวร้ายและก็น่าจะเป็นเรื่อง  “ชั่วคราว”  ดังนั้น  ถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาวก็อย่ากลัวไปเลย  เดี๋ยวมันก็จะลดลง  ถ้าสนใจหุ้นตัวไหนก็ลงทุนได้  ดูที่พื้นฐานเทียบกับราคาหุ้น

 

เรื่องดีเลิศหรือเลวร้ายนั้น  ไม่ได้ใช้ดูหรือพิจารณาเฉพาะตลาดหุ้นหรือตราสารอื่นโดยรวม  แต่ยังสามารถใช้ได้กับหุ้นหรือกิจการแต่ละแห่งด้วย  ในบางช่วงตัวกิจการอาจจะ  “ดีเลิศผิดปกติ” เพราะภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น – ชั่วคราว  หลังจากที่อยู่ในภาวะปกติมานาน  เช่น  กิจการไม่ค่อยโต กิจการทำกำไรต่ำวัดจากกำไรต่อยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3% เพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าที่มีผู้ขายแข่งขันกันรุนแรงและไม่มีใครได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนจริง ๆ  แต่แล้วภาวะอุตสาหกรรมก็ดีขึ้นอย่างทันทีเพราะเกิดโควิด-19  ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและกำไรต่อยอดขายสูงขึ้นมาก  นี่ทำให้ผลประกอบการบริษัท “โต” ขึ้นต่อเนื่องมา 2 ปี  ภาพของบริษัทเปลี่ยนไปกลายเป็นหุ้นโตเร็ว  ราคาหุ้นวิ่งตามมา  แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่อง  “ชั่วคราว” หลังจากโควิดจบ  มันก็จะกลับลงมา  ว่าที่จริงมันอาจจะลงมาก่อนโควิดจบหลายเดือน

 

เช่นเดียวกับ “สิ่งเลวร้าย” ที่เกิดขึ้นกับหุ้นค้าปลีก ผู้บริโภค และการท่องเที่ยวที่ทำให้หุ้นตกเนื่องจาก “เศรษฐกิจถดถอย” เพราะโควิด  ซึ่งก็เป็นเรื่อง “ชั่วคราว”  ที่ในที่สุดก็จะผ่านไป  และหุ้นที่แข็งแกร่งและมีความได้เปรียบคู่แข่งที่ยั่งยืนก็จะกลับมาสู่ภาวะ  “ปกติ”  ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจมาก  

 

สิ่งที่เรามองตลอดเวลาก็คือ ความสามารถในการแข่งขันของหุ้นที่จะผ่านภาวะเลวร้ายต่าง ๆ  ไปได้  ส่วนคนที่อยากจะฉวยโอกาส “ทำกำไรเพิ่มเติมในภาวะชั่วคราว” ก็อาจจะทำได้เช่นเดียวกัน  แต่นี่ก็อาจจะเป็นศาสตร์และศิลป์อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่จำเป็นและก็ไม่การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ