ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว บางช่วงก็ขึ้นบ้าง แต่แล้วก็มักจะปรับตัวลงกลับไปที่เดิมหรือต่ำกว่า เป็นแบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่คนเล่นหุ้นก็ไม่ได้หมดความสนใจ ตลาดหุ้นยังคึกคักพอสมควร เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือ มีหุ้นส่วนหนึ่งที่มีการปรับตัวหวือหวาขึ้นสูงมาก บางทีเป็นหลาย ๆ เท่าตัวภายในเวลาไม่นาน—แล้วก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น และบางตัวก็ราคาสูงลิ่วอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายปี
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ราคาสูงลิ่วและ “แพงจัด” คือมีค่า PE สูงกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้นหรือบางตัวมีค่า PE “หลุดโลก” คือมีค่า PE สูงเป็น 50-100 เท่า ก็เริ่มทยอยปรับตัวลดลงมาเรื่อย ๆ และเรื่องราวต่าง ๆ ก็เริ่มที่จะจางหายไป
หุ้นทั้งหมดนั้น ผมเรียกว่าเป็น “หุ้นสตอรี่” หรือหุ้นที่มีสตอรี่หรือมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่ผู้บริหารหรือนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่สร้างหรือผลิตขึ้น เพื่อที่จะบอกว่า หุ้นตัวนี้จะ “โตระเบิด” และกำไรจะเพิ่มมหาศาลปีละหลายสิบหรือเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ในอนาคตที่ยาวนานและนักเล่นหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยต่างก็เชื่อและเข้าไปซื้อหุ้นจนทำให้ราคาขึ้นไปสูงมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น แน่นอนว่าบริษัทอาจจะทำโครงการเหล่านั้น แต่ผลที่ได้รับก็คือ รายได้และกำไรที่คาดว่าจะได้ก็ไม่ปรากฏเป็นเรื่องเป็นราว หุ้นจำนวนมากถูกขายทิ้งและราคาดิ่งลงมาต่อเนื่อง ลองมาดูว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง
"หุ้นสตอรี่"มีกลุ่มไหนบ้าง
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นการเงินหรือหุ้นไฟแนนซ์ที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมใกล้ชิดจากแบ้งค์ชาติ สตอรี่ของหุ้นก็คือ เป็นบริษัทที่โตเร็วมากกว่าเศรษฐกิจและหุ้นแบ้งค์มาก หนี้เสียมีน้อยมากแบบ “ไม่น่าเชื่อ” คือบางแห่งต่ำกว่า 1% ทั้ง ๆ ที่ให้กู้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก ดังนั้น กำไรจึงเพิ่มขึ้นเร็วและสามารถดึงดูดให้คนมาเล่นหุ้นกันมากจนทำให้หุ้นมีราคาสูงและแพงเป็น 2 เท่าของหุ้นกลุ่มแบ้งค์ คือมีค่า PE กว่า 20 เท่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีจนถึงวันนี้ที่ปัญหาหนี้เสียจะเริ่มเกิดขึ้นมาก กำไรที่เคยโตเร็วก็เริ่มชะลอลง ราคาหุ้นจึงตกลงมามากกว่าหุ้นแบ้งค์และไม่รู้ว่าจะลงต่อไปแค่ไหน
หุ้นกลุ่มที่สองที่ผมเคยเรียกว่าเป็น “หุ้นนางฟ้า” นี่เป็นกลุ่มหุ้นที่เคยบูมมาช่วงเวลาหนึ่ง หลายตัวก็ “ดับ” ไปนานแล้ว บางตัวก็ยังมีราคาสูงอยู่และบางช่วงก็พยายามไต่ขึ้นไปใหม่แม้ว่าสตอรี่จะหมดไปแล้ว หุ้นกลุ่มนี้ใช้สตอรี่ที่เป็นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อที่เป็นที่นิยมในประเทศที่กำลังมาแรง อานิสงค์ส่วนหนึ่งก็คือมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชอบซื้อสินค้าของตน ดังนั้น การเติบโตก็จะแรงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นมาก
นอกจากนั้น หลายบริษัทก็มีสตอรี่ใหญ่กว่านั้นอีก คือจะส่งออกสินค้าเพื่อที่จะ “ครองโลก” อาจจะคิดว่า “ไหน ๆ นักท่องเที่ยวก็ชอบแล้ว ก็ไปขายถึงบ้านเขาเลยสิ” แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงก็คือ “ขายไม่ได้” กำไรที่คิดว่าจะโตระเบิดก็ถดถอยลง และราคาหุ้นก็ถอยตาม หุ้นกลายเป็น “นางฟ้าตกสวรรค์”
หุ้นกัญชา-กัญชง นั้น เป็นสตอรี่ที่ใช้กันมากโดยเฉพาะบริษัทที่มีขนาดเล็กลงมา เพราะเป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อย ทำได้ง่าย แต่อาจจะทำกำไร “มหาศาล” เพราะคนคงเข้ามาใช้กันเยอะและสามารถขายได้ทั่วโลก ดังนั้น แค่ประกาศว่าจะทำ คนก็แห่กันมาซื้อหุ้นแล้ว ดังนั้น หุ้นหลายตัวก็วิ่งขึ้นไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่นาน เพราะสิ่งที่คุยว่าจะทำก็ไม่เกิด หรือเกิดขึ้นก็แทบจะไม่มีผลกับรายได้หรือกำไร ออกสินค้าอาหารหรือเครื่องดื่มผสมกัญชาก็ขายไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่กฎหมายบางอย่างที่เกี่ยวข้องก็อาจจะไม่ผ่านสภา เกมกัญชาก็จบลง
หุ้นเกี่ยวกับโควิด-19 ระบาด เช่นถุงมือยางและยางธรรมชาติก็กลายเป็นหุ้นที่มีสตอรี่ร้อนแรง ผลประกอบการโตขึ้นเป็นสิบ ๆ เท่าหรือมากกว่านั้นเพราะสินค้าขาดแคลนทั่วโลก ราคาสินค้าขึ้นไปมหาศาล ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปน่าจะเป็นสิบ ๆ เท่าในบางตัว แต่ถ้าดูความถูกแพงของหุ้นจากค่า PE ก็จะพบว่ามีค่าแค่ 3-4 เท่า เพราะกำไรเพิ่มขึ้นจากแค่ไม่กี่ร้อยล้านบาทเป็นหลายหมื่นล้านบาท แต่พอ “โควิดจบ” และกำไรถดถอยกลับมาเหลือหลักพันล้านบาท ราคาหุ้นก็ลงตามและลดลงมาน่าจะ 70-80 % แล้วจากราคาสูงสุด และก็ไม่รู้ว่าจะลงต่อลงไปอีกแค่ไหน
หุ้นที่เกี่ยวกับดิจิทัล โดยเฉพาะแนวเหรียญนั้น สตอรี่พีคหรือขึ้นสู่จุดสูงสุดน่าจะเป็นช่วงที่ราคาบิทคอยขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่ออีลอนมัสก์เข้ามา “เล่น” เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา และมีการเสนอซื้อหุ้นแพลทฟอร์มบิทคับของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ หลังจากนั้น บริษัทจดทะเบียนหลาย ๆ บริษัทก็สร้างสตอรี่เกี่ยวกับธุรกิจดิจิทัล อาทิ ผลิตเหรียญดิจิทัลขาย ทำเหมืองขุดคริปโต เป็นต้น ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น เพราะนักเล่นหุ้นเชื่อว่านี่คืออนาคตของโลกและประเทศไทย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นี่อาจจะเป็น “เครื่องปั๊มเงินราคาถูก” ที่ทำให้คนผลิตเหรียญซึ่งมีต้นทุนน้อยมากสามารถขายทำกำไรมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ตลาดเหรียญคริปโตมาเร็วและไปเร็วมาก เมื่อตลาดเหรียญคริปโตวาย ราคาตกลงมาจากหกหมื่นเหลือหมื่นหกพันเหรียญสหรัฐในเวลาแค่ปีเดียว สตอรี่ดิจิทัลก็ล่มสลาย ราคาหุ้นบางตัวก็ตกลงมาอย่างแรง อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ไม่ได้ลงทุนอะไรมากในการผลิตเหรียญก็อาจจะไม่ถูกกระทบมากนัก
ธุรกิจเกี่ยวกับอิเล็คโทรนิกส์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้านั้น พอเกิดโควิด-19 ก็กลายเป็นสินค้าที่ขาดแคลนทั่วโลกเพราะมีการปิดเมือง ผู้ผลิตบางรายก็เลยมียอดขายและกำไรเติบโตมาก สตอรี่ก็คือ นี่คือบริษัทที่อาจจะยิ่งใหญ่ในอนาคตตามการพัฒนาและเติบโตของรถไฟฟ้า กำไรของบริษัทจากไม่กี่พันล้านบาทก็กลายเป็นหมื่นล้านบาท ขนาดของหุ้นวัดจาก Market Cap. และยอดขายและกำไร จากขนาดกลางก็กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับ TOP5 ในตลาด และแน่นอนว่าหุ้นขึ้นไปเป็น 10 เท่าในเวลาเพียงปีเดียวและมีค่า PE สูงเกิน 50 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สตอรี่ของบริษัทในสายตาของนักเล่นหุ้นนั้นยังคงดำรงอยู่ เช่นเดียวกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าอื่นเช่น บริษัทที่ผลิตรถหรือแบตเตอรี่รถไฟฟ้าที่มีราคาปรับตัวขึ้นสูงและยังค้างอยู่อย่างนั้น คงต้องรอดูต่อไปว่าสตอรี่เรื่องเกี่ยวกับรถไฟฟ้านั้นจะเป็นความจริงไหม?
มีสตอรี่อีกหลายเรื่องที่เคยถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นราคาหุ้นให้ขึ้นไปสูงสุดกู่และมีราคาแพงมากก่อนที่จะพบว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่จริงและราคาหุ้นตกกลับลงมา บางทีต่ำกว่าก่อนที่มันจะขึ้น ตัวอย่างเช่น สตอรี่เกี่ยวกับพลังงานโดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้ามาแทนที่พลังงานดั้งเดิมที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
สตอรี่นั้นเกิดขึ้นมาตลอดเวลา หมดเรื่องหนึ่งก็มักจะมีสตอรี่ใหม่ตามมา ซึ่งถ้ามองจากประวัติศาสตร์ก็คือ สตอรี่ใหม่นั้นก็จะเป็นเรื่องไม่จริงเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เกิดขึ้นมาเพื่อให้นักลงทุนตื่นเต้นว่าบริษัทจะเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด “เป็น S-Curve” ใครเข้ามาลงทุนหรือเล่นหุ้นก็จะ “รวยแน่” แต่จริง ๆ สตอรี่นั้นมักจะไม่เพียงพอที่จะขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้มาก จำเป็นที่จะต้องมี “หลักฐาน” ว่าสตอรี่นั้นจะเป็นจริงแน่นอน
วิธีการก็คือ จะต้องทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปแรงจนคน “ทึ่ง” และเชื่อว่าบริษัทจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน และวิธีการที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าไปกวาดซื้อหุ้นจำนวนมากแบบ “Corner หุ้น” นักลงทุนที่ยังสงสัยหรือไม่แน่ใจจะต้องถูกกวาดซื้อหุ้นให้หมด หลังจากนั้น การที่หุ้นจะขึ้นไปหลาย ๆ เท่าก็เป็นไปได้ง่าย
ส่วนหุ้นที่มีขนาดและ/หรือ Free Float มากเกินไปที่จะทำให้การคอร์เนอร์หุ้นทำไม่ได้นั้น จะทำให้สตอรี่ไม่มีความหมาย และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มีฟรีโฟลทมากประกาศว่าจะผลิตรถไฟฟ้าเป็นเรื่องเป็นราว ราคาหุ้นก็ไม่ไปไหน แต่จริง ๆ แล้ว สตอรี่อาจจะมีโอกาสเป็นจริงมากกว่าบริษัทที่คุยมาตลอด แต่ผลลัพธ์จริง ๆ ยังไม่เห็น
นอกเหนือจากประเด็นของเรื่องฟรีโฟลทแล้ว การใช้สตอรี่เพื่อที่จะขับราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้นั้นยังต้องอาศัยภาวะของตลาดหุ้นที่เป็น “เป็นใจ” หรือเอื้ออำนวยให้คนเชื่อและพร้อมที่จะเข้ามาเล่นโดยไม่สนใจความเป็นไปได้ของสตอรี่ รวมถึงประสบการณ์ของคนที่เข้าไปเล่นว่าได้กำไรหรือไม่ ถ้าเล่นแล้วมีแต่ขาดทุนเป็นหลัก นั่นก็จะทำให้คนไม่เชื่อ และถ้าเป็นแบบนี้ มันก็จะเป็น “อวสานของหุ้นสตอรี่” คือสตอรี่เก่า ๆ ก็จะเริ่มตายไป และสตอรี่ใหม่ที่เกิดขึ้นก็ “ขายไม่ได้”