การเป็น “นักลงทุนแบบ VI” ที่มุ่งมั่นและทุ่มเทของผมในวัยตั้งแต่ 44 ปีมาจนถึงวันนี้ ชีวิตและความคิดของผมแทบทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ผมยังเป็นคนที่มัธยัสถ์ มีความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ มีความรับผิดชอบและมีวินัยสูง และเป็นคนที่ “ชอบลงทุน” นั่นคือ เสียสละการบริโภคในวันนี้เพื่อสิ่งที่มากกว่าในวันข้างหน้า หรือลำบากวันนี้เพื่อที่จะสบายในวันข้างหน้า
แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนก็คือ การเปลี่ยนจาก “นักสู้” เป็น “นักเลือก” หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ เป็น “นักเลือก-ก่อนที่จะสู้” และนั่นนำมาสู่ภาคปฏิบัติที่สำคัญมากก็คือ ก่อนที่จะทำอะไร ผมจะ “คิดก่อนทำ” ไม่ใช่ “คิดก่อนว่าจะทำอย่างไร” แต่มักจะเป็น “คิดก่อนว่าจะทำหรือไม่”
เดี๋ยวนี้ผมจะไม่ทำอะไรที่ไม่ได้มีความหมายหรือเป็นประโยชน์อะไรในชีวิตเพียงพอที่จะทำ หรือทำแล้วก็ไม่รู้สึกว่าทำง่ายหรือสนุกที่จะทำ ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ให้ไปสอนคอร์สเกี่ยวกับการทำธุรกิจหรือการลงทุนซึ่งจะต้องเตรียมการสอนออกข้อสอบตรวจข้อสอบและให้คะแนนกับนักศึกษาหรือคนที่เข้าอบรมที่ “จำเป็น” ต้องเข้ามาเรียนหรืออยากได้วุฒิ ในกรณีแบบนี้ ในอดีตผมทำมามาก โดยเฉพาะในช่วงที่ยังเป็น “นักสู้” ที่นอกจากทำงานเป็นลูกจ้างประจำในบริษัทเอกชนแล้วก็ยังสอนหนังสือเป็นงานเสริม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การจบปริญญาเอกทางการเงินมา ถ้าไม่สอนแล้วจะให้ทำอะไร? แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ทำแล้ว
จริง ๆ แล้ว ช่วงที่เป็น VI ใหม่ ๆ ผมเองก็ยังต้องทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบทำและทำไปก็ไม่ทำให้ตนเองเก่งขึ้นหรือเป็นประโยชน์ในอนาคต แต่ต้องทำเพราะมันเป็น “อาชีพ” ที่หาเงินได้ดีและทำให้เรา “มีสถานะในสังคม” และทั้งสองอย่างนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงที่เรายังไม่มี “อิสรภาพทางการเงิน” ดังนั้น การเป็นนักเลือกที่มีอิสระในการเลือกว่าจะทำอะไรก็ได้จริง ๆ นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความมั่งคั่งเพียงพอแค่ไหนด้วย
ในช่วงหลังจากที่ผมมีอิสรภาพทางการเงินสมบูรณ์และออกจากการทำงานประจำเมื่ออายุประมาณ 50 ปีเศษ ผมก็เริ่มที่จะเข้มงวดขึ้นในการที่จะรับงานหรือทำงานอะไรที่ตนเองไม่ชอบ นอกจากนั้น งานที่มีความสนใจและอาจที่จะอยากทำ ผมก็จะ “คิดก่อนที่จะทำ” โดยเฉพาะถ้าเป็นการทำที่ใช้เวลาและเป็นเรื่องต่อเนื่องระยะยาว ผมจะคิดอย่างถี่ถ้วนว่าผมจะทำได้ดีหรือไม่ และผมจะ “ชนะ” ไหม? คำว่าชนะของผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเข้าไปต่อสู้หรือแข่งขันกับใครจริง ๆ คำว่า “ชนะ” ของผมนั้นแปลว่า ถ้าแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับคนอื่นส่วนใหญ่หรือในความรู้สึกของผมหรือคนอื่นที่ไม่ลำเอียง ผมจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน?
การที่จะทำได้ดีหรือเป็นผู้ชนะนั้น ผมจะเริ่มคิดจาก “ปัจจัยหรือความสามารถในการแข่งขัน” ของเรื่องนั้นก่อน ว่างานแบบนั้น อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เข้าแข่งได้เปรียบ และถ้าทำได้ดีก็จะมีโอกาสเป็นผู้ชนะประสบความสำเร็จสูง ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นนักแสดง ความสำเร็จก็คงเป็นดารานำในแต่ละกลุ่มหรือบทบาท เช่น เป็นพระเอกนางเอก หรือเป็นตัวตลกหรือตัวประกอบที่โดดเด่น ก็ต้องดูว่าแต่ละกลุ่มนั้นคนที่จะ “ชนะ” มักจะมีคุณสมบัติพิเศษอะไร เช่น หน้าตาดี รูปร่างดี นอกเหนือไปจากการแสดงที่จะต้องมีความสามารถในระดับหนึ่ง เป็นต้น เช่นเดียวกับเรื่องของกีฬา ที่บางทีถ้าคุณ “ตัวเล็ก” ในหมู่นักกีฬาประเภทนั้น โอกาสชนะก็อาจจะยากมาก
หรืออย่างการทำงานเป็นลูกจ้างอย่างที่ตัวผมเองครั้งหนึ่งเคยทำงานเป็นวาณิชธนกิจของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งผมทำมานานพอสมควรแต่ประสบความสำเร็จน้อยมากหรือเป็น “ผู้แพ้” ทั้ง ๆ ที่ทุ่มเท “แทบตาย” และก็คิดว่าเราน่าจะมีความรู้มากพอเพราะเรียนจบปริญญาเอกทางการเงิน หลังจากออกมาจากวงการและคิดย้อนหลังกลับไปถึงได้รู้ว่า เรา ซึ่งหมายรวมถึงบริษัทและพนักงานรวมถึงตัวผมเองนั้น ไม่มีปัจจัยหรือความสามารถในการแข่งขันเพียงพอโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์ผู้นำทางด้าน IB หลายแห่ง
เช่น เราไม่มี “ผลงาน” ที่โดดเด่นพอที่จะไปขายให้กับลูกค้า คนของเรารวมถึงตัวผมเองนั้น ภาษาอังกฤษแย่มาก และในวงการนี้ ข้อเสนอหรือรายงานเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่อ่อนแอนั้น ไม่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งด้านผู้ขายหุ้นและนักลงทุน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงฐานลูกค้าที่เรามีน้อยมากเนื่องจากเพิ่งมาทำทีหลังนานมาก ผลก็คือ แข่งทีไรก็แพ้แทบทุกที และคนที่ชนะก็จะมีปัจจัยในการแข่งขันที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้การแข่งขันต่อมาก็ชนะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็น “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” ที่ทำให้ชนะและประสบความสำเร็จซึ่งก็รวมไปถึงคนที่เข้าไปทำงานทีหลังก็จะได้อานิสงค์จากความได้เปรียบของตัวบริษัท
และทั้งหมดนั้น ผมก็นำมาประยุกต์ใช้กับบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ที่เราเข้าไปเลือกซื้อหุ้นแบบ “VI” ในแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ที่บอกว่าเราต้องการเลือกหุ้น “ผู้ชนะ” ในราคาที่ไม่แพง วิธีการก็คือ ดูว่าในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของบริษัท อะไรคือปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมก็จะไม่เหมือนกันแม้ว่าจะมีปัจจัยบางอย่างร่วมกันอยู่ ตัวอย่างเช่นเรื่องของขนาด ซึ่งบางอุตสาหกรรมขนาดอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญมาก แต่ในธุรกิจค้าปลีกนั้น ขนาดหรือเครือข่ายที่ใหญ่จะได้เปรียบค่อนข้างมาก และเมื่อใหญ่ถึงจุดหนึ่ง การแข่งขันก็มักจะแทบหมดไป รายใหญ่แทบจะชนะเสมอ
การวิเคราะห์ว่าใครหรืออะไรจะแพ้หรือชนะนั้น สำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับ “นักเลือก” โดยเฉพาะการเป็น “นักลงทุนระยะยาว” ที่ความสำเร็จหรือล้มเหลวแทบทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหุ้นหรือหลักทรัพย์ถูกตัวไหม และสิ่งที่จะต้องศึกษาและรู้จริงก็คือ อะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันหรือในความสำเร็จของผู้เล่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้หรือเข้าใจได้เอง ส่วนมากแล้วก็จะมาจากการวิเคราะห์วิจัยของ “กูรู” ทางธุรกิจที่ได้เขียนหนังสือหรือแบบเรียนให้นักศึกษาเรียนรู้ การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หรือกรณีศึกษาทางธุรกิจเองก็มีความสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจและนำมาใช้วิเคราะห์ได้เช่นเดียวกัน และนี่ก็คือเหตุผลที่นักลงทุนเอกของโลกทั้งหลายมักจะเป็น “นักอ่านตัวยง” ทั้งนั้น
การวิเคราะห์ว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้นั้นแน่นอนว่าไม่ใช่ใช้เฉพาะในธุรกิจหรือหุ้นหรือการลงทุน ที่จริงสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการวิเคราะห์ตัวเราเองว่าเราจะชนะหรือแพ้ในชีวิตและเราควรจะทำอะไรที่จะทำให้มีโอกาสชนะมากขึ้น
ส่วนตัวผมเองนั้น จนถึงอายุ 44 ปี ผมเลือก หรือที่จริงควรจะพูดว่า “ไม่ได้เลือก” ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ “ไม่มีสิทธิเลือก” ให้ต้องทำงานหรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองไม่มีปัจจัยในการแข่งขันหรือต่อสู้เพียงพอ ดังนั้น แม้ว่าจะต่อสู้เต็มที่แล้วก็ยังแพ้ แต่เมื่อเริ่มรู้จัก “เลือก” ที่จะเป็นนักลงทุน “ด้วยความจำเป็น” ในช่วงวิกฤต้มยำกุ้งปี 2540 ผมก็พบว่า เรามีปัจจัยในการแข่งขันเต็มเปี่ยม เพราะการลงทุนนั้นแทบจะไม่ได้อาศัยอะไรทางด้านร่างกายหรือสถานะทางครอบครัวหรือสังคม สิ่งที่ต้องใช้ก็คือ ความรู้ทางธุรกิจ การคิดวิเคราะห์ และความเข้าใจในพฤติกรรมของคน ซึ่งทั้งหมดนั้นผมมีไม่น้อยกว่าใครในตลาดหุ้นไทยในยุควิกฤติและหลังจากนั้น ไม่ได้เก่งหรือมีความสามารถสูงกว่า แค่เป็นคนแรก ๆ ที่คิดเรื่องการลงทุนแบบ VI เท่านั้น
หลังจากประสบความสำเร็จในด้านของการลงทุน ถึงวันนี้มีคนชวนให้ทำโน่นนี่รวมถึง “เล่นการเมือง” ด้วย อาจจะคิดว่า “มีปัจจัยในการแข่งขัน” ซึ่งอาจจะหมายถึงการมีเงินพร้อม แต่ใจผมกลับคิดว่า อายุขนาดนี้แล้ว ความสำเร็จที่ผมต้องการจริง ๆ แทบจะเหลืออยู่เรื่องเดียวแล้ว นั่นคือ มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจให้ยาวที่สุด และนั่นก็คือสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ