หุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก น่าจะเป็นร้อยตัวขึ้นไป โดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็ก น่าจะเป็นหุ้นที่ผมเรียกว่า “อยู่ใน Corner”และบางครั้งก็รวมถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในปริมาณที่มากกว่าปกติมากจนทำให้เหลือหุ้นจำนวนน้อยที่ “ถูกต้อนเข้ามุม”
และหลังจากนั้น ราคาก็มักจะขึ้นไปแรงมากเมื่อมีนักลงทุนเข้าไปซื้อเพิ่มในขณะที่คนขายมักจะไม่อยากขายเพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้นไปอีก ซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นไปจน “เกินพื้นฐาน” ไปมาก เช่น วัดจากค่า “PE ปกติ” ตั้งแต่ 40-50 เท่าขึ้นไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นบริษัทที่ดีเยี่ยมแบบซุปเปอร์สต็อก หรือมีค่า PE สูงเป็น 2-3 เท่าของบริษัทในธุรกิจเดียวกันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง
หุ้นที่อยู่ใน Corner นั้น ไม่ช้าก็เร็ว หุ้นจะตกลงมาแรงมากและกลับมาสู่ราคาพื้นฐานที่ควรจะเป็น สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ เมื่อไร? และเมื่อเกิดขึ้นแล้วหุ้นจะตกลงมามากและเร็วแค่ไหน? จากประสบการณ์ของตลาดหุ้นไทย ผมคิดว่าหุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์มักจะมีวันที่จะเป็นจุดเริ่มที่จะ “แตก” หลาย ๆ วันดังต่อไปนี้
สัญญาณหุ้น Corner แตก
วันที่น่ากลัวที่ Corner จะแตกและเกิดกับหุ้นมากที่สุดก็คือ วันประกาศผลประกอบการโดยเฉพาะประจำปีของบริษัท ซึ่งก็กำลังจะเกิดขึ้นและนับต่อจากวันนี้ไปอีกประมาณ 1 เดือน เหตุผลเป็นเพราะหุ้นที่ถูก Corner นั้น มักจะเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดีและถูกประเมินว่ารายได้และกำไรจะเติบโตสูงและต่อเนื่อง เป็นแนว “หุ้นเติบโต” หรือบางทีก็เป็น “หุ้นซุปเปอร์สต็อก” ที่จะยิ่งใหญ่จนกลายเป็นหุ้นยักษ์ในไทยหรือระดับอาเซียนหรือระดับโลก ดังนั้น นักลงทุนก็จะเฝ้าดูผลประกอบการที่จะประกาศของบริษัท
ถ้าผลประกอบการยังเติบโตดี ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งต่อไป แต่ถ้ากำไรตกฮวบโดยไม่สามารถอธิบายได้จากภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดของสินค้าว่าเป็นเรื่องชั่วคราวจริง ๆ ราคาหุ้นก็มักจะตกลงมาอย่างแรงและอาจจะทำให้ Corner “แตก” นักเล่นหุ้นบางคนขาดความมั่นใจและเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นว่าไม่ใช่เป็นหุ้นที่ดีหรือโตเร็วมากอย่างที่คิดและตัดสินใจขายหุ้นทิ้งในขณะที่คนจะซื้อลดน้อยลงมาก และการที่หุ้นตกลงมาแรงในรอบแรกก็ส่งผลให้คนกลุ่มที่สองขาดความมั่นใจและถ้ายังมีกำไรในหุ้นอยู่ก็จะรีบขายหุ้นทิ้งเพิ่มทำให้หุ้นตกลงมาอีกที่จะทำลายความมั่นใจของคนกลุ่มต่อ ๆ ไป
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดแทบจะเป็น“นรกแตก” ก็คือ คนที่ใช้มาร์จินในการซื้อหุ้นจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นคน Corner หุ้นเอง ต้องถูกบังคับให้ขายเพราะหุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาที่กำหนดและตนเองไม่มีเงินมาเติม นั่นจะส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมาแทบจะเป็น “หายนะ”
วันที่สองที่น่ากลัวมากยิ่งกว่าวันแรกก็คือ วันที่มีการเปิดเผยว่ามี “Fraud” หรือการโกงหรือการหลอกลวงในบริษัทที่ทำโดยผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงและผิดกฎหมาย ซึ่งนั่นก็รวมถึงการแต่งบัญชี การถอนเงินออกจากบริษัทอย่างผิดกฎหมาย การโกงโดยอาศัยบริษัทลูกที่จดทะเบียนในต่างประเทศซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบเพียงพอจากสำนักงานใหญ่ และอื่น ๆ อีกมาก
ซึ่งในกรณีแบบนี้ บ่อยครั้งก็ทำเพื่อที่จะสร้างผลกำไรปลอมให้กับบริษัทเพื่อที่จะปั่นหุ้นโดยการทำ Corner หุ้น ซึ่งจะสามารถทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้หลาย ๆ เท่าในเวลาอันสั้น ดังนั้น เมื่อข่าวออกมา นักเล่นหุ้นก็จะตกใจและขายหุ้นทิ้งและทำให้หุ้นที่ราคาสูงลิ่วตกลงมาแบบ “หายนะ” หลายบริษัทก็มักจะล้มละลายไปในที่สุด
วันที่สามที่น่ากลัวและมักทำให้ Corner แตกเป็นระบบก็คือ การเกิดวิกฤติการเงินเศรษฐกิจและตลาดหุ้น เพราะนี่เป็นสิ่งที่เกิดบ่อยพอสมควรคือประมาณ 10 ปีครั้ง เพราะการเกิดวิกฤตินั้น ข้อแรกก็คือ ทำให้คนกลัวและขาดความมั่นใจในการลงทุนในหุ้น ดังนั้น พวกเขามักจะอยากขายหุ้นโดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานของบริษัท
และข้อสองก็คือ ในยามวิกฤติ เม็ดเงินหรือสภาพคล่องมักจะหดหายไปมาก ขาใหญ่และรวมถึงรายย่อยต่างก็ต้องการถือเงินสด สถาบันการเงินก็ต้องการเรียกหนี้รวมถึงมาร์จินการซื้อหุ้นคืน ดังนั้น หุ้นที่แพงมากและมีสภาพคล่องสูงก็จะถูกขายจนราคาตกเป็น “หายนะ” และตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือ ช่วงวิกฤติไฮเท็คในปี 2000 และช่วงซับไพร์มปี 2008 ในตลาดหุ้นสหรัฐที่หุ้นที่ถูก Corner และมีค่า PE เป็นร้อยเท่าหรือไม่มีค่า PE เพราะยังขาดทุน ตกลงมาเป็นหายนะส่วนใหญ่น่าจะเกิน 90% รวมถึงหุ้นอย่างอะมาซอน ในขณะที่หุ้นตัวเล็กที่เป็นไฮเท็คจำนวนมากล้มละลาย ราคาหุ้นเป็นศูนย์
วันสุดท้ายที่ Corner อาจจะแตกก็คือ วันที่คนทำ Corner เองตัดสินใจที่จะขายหุ้นทำกำไรอย่างรวดเร็วเกินไปจนราคาหุ้น “ถล่ม” ซึ่งเหตุผลก็อาจจะมีร้อยแปด เช่น อาจจะเกรงว่ากลุ่มอื่นที่ร่วมกันทำอาจจะชิงขายก่อนเพราะไม่แน่ใจว่า Corner ของหุ้นจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเพราะสถานการณ์อุตสาหกรรมหรือบริษัทอาจจะถูกเปิดเผยในเร็ววันว่าธุรกิจจะแย่ลงมากเป็นต้น
การที่หุ้นตกลงมาแรงและเร็วมากเพราะคนทำ “Take Profit” เร็วเกินไปนั้น บางทีก็มาจาก “ฝีมือ” หรือ “เม็ดเงิน” ยังไม่ถึงขั้นเพราะประสบการณ์ไม่พอก็น่าจะมีไม่น้อย ตัวอย่างในตลาดหุ้นไทยก็น่าจะรวมถึงเหตุการณ์ “Corner แตก” ของหุ้นตัวหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาเป็น “หายนะ” เมื่อเร็ว ๆ และก่อให้เกิดความเสียหายเป็นกรณีฟ้องร้องทางกฎหมายที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรด้วย
วันที่ Corner “แตก” นั้น บ่อยครั้งหุ้นก็ไม่ตกลงมามากในระดับหายนะ เพราะมันอาจจะไม่ได้ “แตกแรง” หุ้นอาจจะตกลงมาถึงระดับหนึ่งแล้วก็นิ่ง ซึ่งอาการจะคล้าย ๆ กับการที่ Corner หรือมุมที่เคยแคบมาก มีหุ้นที่ “หมุนเวียนตามธรรมชาติ” น้อยมากเช่นแค่ 5-6% ของบริษัทก็อาจจะขยายตัวเป็น 10-15% โดยที่ราคาหุ้นลดความแพงลงมาระดับหนึ่ง เช่น จาก PE 100 เท่าเป็น 70 เท่า แล้วราคาหุ้นก็นิ่งอยู่ประมาณนั้น อาจจะเพื่อรอวันที่จะมีคนมาทำ Corner ใหม่เมื่อมีสถานการณ์ใหม่ที่เอื้ออำนวยเกิดขึ้น
หุ้นที่ Corner แตกอย่าง “สมบูรณ์” คือไม่เหลือคนที่เป็น “สปอนเซอร์” หลักแล้ว ราคาหุ้นก็มักจะไหลลงไปเรื่อย ๆ จนราคาใกล้เคียงกับพื้นฐานที่แท้จริงแต่ก็ไม่น่าจะเป็นหุ้นถูกที่น่าสนใจลงทุน ความหวังว่าราคาหุ้นจะกลับขึ้นมาเท่าเดิมก่อนตกซึ่งสูงลิ่วนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
และความหวังว่าจะมีนักเล่นหุ้นรายใหญ่กลับเข้ามา Corner หุ้นตัวนั้นอีกก็น่าจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เหตุเพราะว่า “ภาพ” ของหุ้นในสายตาของนักลงทุนเสียไปแล้ว “เซียน” มักจะไม่สนใจที่จะทำ Corner หุ้นที่มีประวัติ “เน่า” แล้ว เพราะจะทำไม่ขึ้น สู้ทำกับหุ้นตัวใหม่ ๆ ที่ขายสตอรี่ใหม่ ๆ ได้ง่ายจะดีกว่า ดังนั้น เมื่อ Corner หุ้นแตกแล้วก็จงขายทิ้ง “ทุกราคา” อย่า “ติดหุ้น”
สุดท้ายสำหรับคนที่ชอบเล่นกับหุ้นที่ถูก Corner เพราะคิดว่าจะทำกำไรได้มากในเวลาอันสั้น และอาจจะเชื่อว่าหุ้นตัวนั้น “ดีจริง” อาจจะเพราะได้เห็น “เซียนหุ้น” เข้าไปซื้อมากมาย เห็นนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อเกือบจะทุกแห่ง เห็นผู้บริหารบริษัทประกาศขยายงานและเติบโตตลอดเวลา และตั้งเป้าโตของมูลค่าหุ้น บางทีเป็นแสนล้านบาทภายในเวลาไม่กี่ปี เห็นราคาหุ้นขึ้นหวือหวา บางวันขึ้นไป 10% โดยไม่มีข่าวอะไรพิเศษ
ทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นกำลังถูก Corner แล้ว และสิ่งที่ต้องระวังก็คือ มันมีโอกาส “แตก” ได้ตลอดเวลา สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าไม่คุ้มที่จะเข้าไปเล่น เพราะในระยะยาว เราจะแพ้ และคนที่จะชนะได้น่าจะเป็นคนที่ทำหรือต้อนหุ้นเข้ามุม แต่จริง ๆ ก็ไม่แน่ คนที่ทำก็อาจพลาดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ตลาดหุ้นและ/หรือหุ้นเกิดวิกฤติกะทันหัน และนั่นก็จะเป็น “หายนะ”