ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 205.57 จุด ขานรับจีดีพีสหรัฐโตเกินคาด

26 ม.ค. 2566 | 23:40 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ม.ค. 2566 | 00:14 น.

ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (26 ม.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4/65 ที่สูงเกินคาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมเฟด ในสัปดาห์หน้า

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,949.41 จุด เพิ่มขึ้น 205.57 จุด หรือ +0.61%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,060.43 จุด เพิ่มขึ้น 44.21 จุด หรือ +1.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,512.41 จุด เพิ่มขึ้น 199.06 จุด หรือ +1.76%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการ GDP ไตรมาส 4/2565 ครั้งที่ 1 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% หลังจากขยายตัว 3.2% ในไตรมาส 3 โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงสิ้นปี 2565

แครอล เชลฟ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท BMO Family Office กล่าวว่า "ตัวเลข GDP ที่ออกมาดีเกินคาดสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่งแม้ถูกกระทบจากการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ตลาดขานรับข้อมูล GDP เพราะมองว่านี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่านโยบายการเงินของเฟดทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นไป (ซอฟต์แลนดิ้ง) ไม่ใช่ถดถอยลง"
         

 

 

นอกเหนือจากตัวเลข GDP แล้ว ตลาดยังขานรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่ออกมาดีเกินคาด ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 2.3% สู่ระดับ 616,000 ยูนิตในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพุ่งขึ้น 5.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.5%

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.32% และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.03% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลง 0.28%

หุ้นเทสลาทะยานขึ้น 10.97% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 ที่ระดับ 1.19 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.13 ดอลลาร์ นอกจากนี้ นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เทสลาจะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 4.9% หลังบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลจาก 1.42 ดอลลาร์ต่อหุ้น เป็น 1.51 ดอลลาร์ต่อหุ้น

 

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนธ.ค.ของสหรัฐในวันนี้  โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค อีกทั้งมีความครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว