ดร.นิเวศน์ กางหลักเล่นหุ้น"นิสัย VI ผู้มุ่งมั่น"ตอบชัดทำไมเมินหุ้น IPO

28 ม.ค. 2566 | 11:49 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ม.ค. 2566 | 12:15 น.

ดร.นิเวศน์ กาง"นิสัย VI ผู้มุ่งมั่น"ฉบับส่วนตัว ตอบชัดทำไมไม่เล่นหุ้น IPO แนะไม่ควรซื้อหุ้นที่ราคาสูงกว่าพื้นฐาน วิเคราะห์ศักยภาพกิจการเป็น เลี่ยงหุ้นที่ผู้บริหาร"ขี้คุย"

 

นักลงทุนที่เป็น Value Investor หรือ VI นั้น  มีหลาย “ระดับ” ของการเป็น “VI”  ซึ่งมีนิยามอย่างสั้นที่สุดก็คือ  “การลงทุนซื้อหุ้นจะซื้อเฉพาะหุ้นที่มี Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาดของหุ้นมากพอที่จะทำให้มี  Margin of Safety หรือส่วนเผื่อของความปลอดภัยในการลงทุน  และขายหุ้นเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง”  

ส่วนรายละเอียดว่าอะไรคือมูลค่าที่แท้จริง  ประเมินอย่างไรและมีความแน่ใจแค่ไหน  และมาร์จินออฟเซฟตี้ควรจะประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกันและแต่ละคนก็จะคิดไม่เหมือนกัน  นอกจากนั้น  กลยุทธ์การถือหรือซื้อขายหุ้น  เช่นถือหุ้นจำนวนมากน้อยแค่ไหนหรือจะถือยาวแค่ไหน  เช่นเดียวกับวิธีการค้นหาข้อมูลและประเมินศักยภาพของกิจการและผู้บริหาร  ก็เป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกันมากในหมู่ของนักลงทุนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “VI”

จากการเป็น VI มายาวนานในตลาดหุ้นไทย  และการศึกษา VI ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงวอเร็น บัฟเฟตต์  ผมเองรู้สึกว่า  “VI ผู้มุ่งมั่น”  หรือ VI ที่มีความทุ่มเทหรือยึดถือหลักการทาง VI “อย่างเคร่งครัด” นั้น  มักจะตีตัวออกห่างจากสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์  เช่นไม่รู้สึกตื่นเต้นกับราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแบบ “ไร้เหตุผล” หรือ “บ้าคลั่ง” เช่นเดียวกับการที่ไม่ตกใจหรือไม่กลัวเวลาหุ้นตกลงไปอย่างแรง  ไม่ว่าจะเป็นหุ้นรายตัวหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์  

นอกจากนั้น  พวกเขาก็ยังไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวหรือสตอรี่หรือ “ราคาคุย” ของผู้บริหาร  รวมถึงนักวิเคราะห์และ “เซียน” หรือ “นักลงทุนรายใหญ่” ทั้งหลายที่อยู่ในตลาดหากมองและประเมินแล้วว่าไม่ได้มีตรรกะหรือเหตุผลที่เพียงพอ
 

โดยปกติแล้ว  “ความเป็น VI” ของนักลงทุนนั้น  ก็คงคล้ายกับเรื่องอื่น ๆ  ที่ว่า ต้องอาศัยการปฏิบัติและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ  เพื่อที่จะมีความเชี่ยวชาญ  มีวินัย มีศรัทธาที่จะลงทุนในแบบหรือกลยุทธแบบ “VI ที่แท้จริง” มากขึ้นเรื่อย ๆ  และมี “ข้อยกเว้น” น้อยลงเรื่อย ๆ  และต่อไปนี้ก็เป็นนิสัยหรือความคิดและการกระทำของผมที่ค่อย ๆ  เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาของการเป็น VI เพิ่มขึ้น ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่า  ไม่ได้หมายความว่าผมจะลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาเป็น VI ที่มุ่งมั่นมากขึ้น  บางทีอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยลงด้วยซ้ำแต่ความเสี่ยงอาจจะลดลง  หรือ “ชีวิตโดยรวม” ซึ่งไม่ได้คิดแต่เรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียวอาจจะดีขึ้น  อะไรทำนองนี้

เรื่องแรกที่ผมเปลี่ยนไปจากในช่วงแรกที่เป็น VI ก็คือ  เรื่องที่กำลังร้อนแรงมากในช่วงเร็ว ๆ  นี้นั่นก็คือ  การเล่นหรือจองซื้อหุ้น IPO ซึ่งดูเหมือนจะเป็น “ที่รัก” ของนักลงทุนในตลาดหุ้นทุกคน  เพราะจากสถิติก็คือ  กำไรจากหุ้น IPO ในวันแรกของการเทรดนั้นน่าจะสูงกว่าการขาดทุนมาก-ตลอดกาล  ว่าที่จริง  ผมเองเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยการจองซื้อหุ้น IPO ที่ได้รับการจัดสรรจากบริษัทที่เอาหุ้นเข้าตลาดเมื่อหลายสิบปีก่อน  ดูเหมือนว่าน้อยครั้งที่คนจะปฏิเสธการจองหุ้น IPO มีแต่อยากจะได้มากที่สุด
 

 

แต่ผมเองกลับเลิกจองหุ้น IPO มานานหลายปีแล้ว  ทั้ง ๆ ที่บ่อยครั้งก็รู้สึกว่ากำไรมากแน่นอน  เพราะดูจากอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรง  ตัวบริษัทที่เป็นผู้นำและมีขนาดของบริษัทที่เล็กมาก  หุ้นมี Free Float ต่ำ  ภาวะตลาดหลักทรัพย์มีการเก็งกำไรสูงมาก  หุ้นมีโอกาสถูก “Corner” ตั้งแต่เทรดวันแรก  แต่ผมก็ไม่จอง

ผมคิดว่า IPO น่าจะเกือบทุกตัวนั้นมักมีราคาที่ตั้งไว้สูงกว่าพื้นฐานของหุ้น หรือที่เขาพูดกันว่า  “It Probably Overpriced” และ “VI พันธุ์แท้” ไม่ควรซื้อหุ้นที่ราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริง  และก็ไม่ควรซื้อแม้ว่าในระยะเวลาอันสั้นราคาอาจจะสูงกว่าพื้นฐานมากขึ้นไปอีกมากซึ่งจะทำให้เราขายได้กำไรอย่างงดงาม  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมคิดว่าถึงได้กำไร  มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงสถานะของพอร์ตหุ้นเราเลย  เราอาจจะได้เงิน  แต่เราก็อาจจะเสียศรัทธาและความเชื่อของเราต่อหลักการแบบ VI ที่เราสร้างมานาน

ช่วงการเป็น VI ใหม่ ๆ  อาจจะเป็นกว่า 10 ปี  เมื่อมองย้อนหลังกลับไป  ผมน่าจะเป็นนักลงทุนที่เรียกว่า “Value Speculator” หรือนักเก็งกำไรโดยอาศัยหลักการเลือกและเล่นหุ้นที่เป็น “Value Stock” คือหุ้นที่มีราคาถูกกว่าพื้นฐานของกิจการ  แต่จะเป็นการมองระยะสั้นและเน้นที่กำไรของบริษัทในระยะสั้น  

หุ้นเหล่านี้มักจะไม่ได้มีความเข้มแข็งมากนัก แต่กำไรอาจจะกำลังเติบโตดี หุ้นมีขนาดเล็กที่ราคาอาจจะขึ้นไปได้เร็วเมื่อมีคนเข้ามาเล่น  บางตัวก็ถูก Corner โดยนักลงทุนรายใหญ่ซึ่งทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปมากมาย  อย่างไรก็ตาม เวลาที่กำไรของบริษัท ไม่เป็นไปตามคาดหรือเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ราคาก็ลงแรงพอกัน

ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะที่พอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น  ผมก็เปลี่ยนเป็นการลงทุนแบบ VI ระยะยาวขึ้นและยาวขึ้น  ลงทุนในหุ้นของกิจการที่จะอยู่อย่างมั่นคงปลอดภัยและเติบโตเร็วหรืออย่างน้อยก็เติบโตบ้างแบบช้า ๆ  โดยไม่ค่อยสนใจว่างวดนี้หรืองวดหน้าหรือปีนี้หรือปีหน้า กำไรบริษัทจะโตพรวดหรือเปล่า เป็นการลงทุนที่ซื้อแล้วไม่มีเวลาที่คิดจะขาย  แต่จะขายต่อเมื่อสิ่งที่เราคิดไว้ทีแรกเปลี่ยนไปแล้ว  เช่น  ธุรกิจหมดความสามารถในการแข่งขันหรือถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีหรือรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป  เป็นต้น

การหาข้อมูลแบบ VI คือดูกิจการหรือเข้าไป Visit Company คุยกับผู้บริหารโดยตรงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนไป  ในอดีต  บ่อยครั้ง  ก่อนที่จะซื้อหุ้นผมมักจะอยากจะรู้จักหรือพูดคุยกับผู้บริหารรวมถึงการเข้าไปชมโรงงานหรือกิจการว่าเป็นอย่างไร  ดูดีหรือไม่  นอกจากนั้น  ถ้าบริษัทขายสินค้าให้กับผู้บริโภค  ผมก็จะต้องวนเวียนคอยสังเกตดูว่ามีลูกค้าเข้าชมหรือซื้อสินค้าของบริษัทมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งก็มักจะได้ผลดี  ซื้อแล้วหุ้นก็มักจะขึ้น  ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะมี VI คนอื่นก็เข้าไปพบบริษัทและผู้บริหารและก็ซื้อหุ้นด้วยเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม  ต่อมาผมพบว่า  เวลาเข้าไปพบบริษัท  ข่าวก็คงออกมาและทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปก่อนที่เราจะซื้อ  ทำให้ผมไม่อยากไป  สุดท้าย  ผมก็เลิกไปเลยเพราะดูแล้ว  การเข้าไปเยี่ยมชมและฟังผู้บริหารก็อาจจะได้ข้อมูลที่ “ลำเอียง” ตอนหลังผมก็เลยดูจาก “ภายนอก” ดูจากข้อมูลทางตัวเลขและการวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรมซึ่ง  “หลอกไม่ได้”

การวิเคราะห์ “ผู้บริหาร” นั้น  ในอดีตผมจะเน้นในเรื่องความซื่อสัตย์มีจรรยาบรรณเป็นประเด็นสำคัญ    อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของฝีมือหรือความสามารถทางการบริหาร  ซึ่งผมก็มักจะดูจากการตัดสินใจต่าง ๆ  เช่น การลงทุนและการจัดสรรเงินที่ได้จากธุรกิจว่ามีความเหมาะสมแค่ไหน  โดยเฉพาะการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น  

ในส่วนของฝีมือในการบริหารนั้น  บ่อยครั้งผมก็มักจะดูจากการพูดอธิบายกลยุทธ์ทางธุรกิจต่าง ๆ  ของผู้บริหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายงานและการแข่งขันกับคู่แข่ง  บ่อยครั้งผมมักจะประทับใจกับผู้บริหารที่มีโครงการและแผนงานเต็มไปหมดพร้อม ๆ  กับการคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าประทับใจ  พูดง่าย ๆ  ชอบผู้บริหารที่ “ขี้คุย” แต่ในระยะหลัง ๆ  ความคิดผมก็เปลี่ยนไป  ผมคิดว่าผู้บริหารที่ “โอ้อวดเกินความจริง” นั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อหุ้นมากกว่าความเป็นไปได้ของการเติบโตของธุรกิจ  ดังนั้น  ผมมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่ผู้บริหารคุยโม้มากเกินไป

กลยุทธการลงทุนของผมในอดีตนั้น  เป็นแบบ  “Bottom Up” หรือเน้นแต่การดูตัวบริษัทเป็นหลัก  โดยที่ไม่ให้ความสนใจกับภาพใหญ่ทางธุรกิจเช่น  ภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเลย  นั่นอาจจะเป็นกลยุทธที่ได้ผลดีโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเติบโตระยะยาวไปเรื่อย ๆ  อย่างในตลาดหุ้นสหรัฐหรือไทยในช่วงก่อนหน้านี้หลายปี  

อย่างไรก็ตาม  ในระยะหลัง  ผมก็เริ่มเปลี่ยน  ผมคิดว่าหลักการแบบ VI ที่มีกำเนิดจากอเมริกาและประวัติศาสตร์การลงทุนที่เราเรียนรู้จากอเมริกานั้น  ถึงปัจจุบันอาจจะใช้ไม่ได้กับตลาดหุ้นไทยที่เศรษฐกิจอาจจะเติบโตช้าลงมาก และถ้าเรายังคิดและวิเคราะห์เฉพาะตัวกิจการ  เราอาจจะพลาดและติดหล่มอยู่ใน “หลุมทรายดูด” ได้  เพราะตัวบริษัทอาจจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะเติบโตได้ดีแม้ว่าจะเก่งที่สุดแล้ว