บมจ.พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช (PQS) เคาะราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 170 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 6.00 บาท เปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 7-9 ก.พ.66 มูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 1,020 ล้านบาท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ทำโดยการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ด้วยวิธีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio : P/E) คิดเป็น 11.85 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง ตั้งแต่ 1 ต.ค.64-30 ก.ย.65 ซึ่งเท่ากับ 339.24 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) จำนวน 670,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.51 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ หุ้นของผู้มีส่วนร่วมในการบริหารที่ไม่ติด Silent Period จำนวน 131,500,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 45.00% ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นทุกรายได้ลงนามในสัญญาไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดที่นอกเหนือจากส่วนที่ห้ามขายหุ้น เป็นระยะเวลา 180 วันนับแต่วันที่นำหุ้นเข้าเทรด
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน เงินจำนวน 987.03 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังในจังหวัดใหม่เพิ่มเติม 1 แห่ง เพื่อขยายกำลังการผลิต 667 ล้านบาท ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส เพิ่มเติม 54 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 13 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 253.03 ล้านบาท
นายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PQS กล่าวว่า จุดเด่นของบริษัทฯ คือ มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมผลิตเป้งมันสำปะหลัง ที่สำคัญคือมิโรงงานอยู่บนทำเลที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบมันสำปะหลังคุณภาพจากเกษตรในพื้นที่ ส่งผลให้วัตถุติบมิความสดใหม่อยู่เสมอ และทำให้สินค้าแป้งมันสำปะหลังที่ผลิตมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในระดับสากล รวมถึงระบบบริหารจัดการที่ดีไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้มีศักยภาพในการแข่งขันสะท้อนถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืน
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทยอย ในรอบ 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (ปี 2562-64) บริษัทมีรายได้รวม 1,255.70 ล้านบาท, 1,282.05 ล้านบาท และ 2,254.03 ล้านบาทตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 65.75 ล้านบาท, 82.09 ล้านบาท และ 313 82 ล้านบาทตามลำดับ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ