บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (23 ก.พ.) ว่าการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐช่วงที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนผ่านจากมาตรการเยียวยาเรื่องCovid-19 มาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น สะท้อนจากงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ 2566 เพิ่มขึ้น 17.7%YoY เป็น 0.66 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 20.9% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.9%YoY เป็น 0.69 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 20.6% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม Timeline ทางการเมืองปี 2566 มีความชัดเจนมากขึ้น กล่าวคือ การเลือกตั้งทั่วไปน่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 ส่วนการยุบสภาฯ อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 7 - 22 มีนาคม 2566 (หลังยุบสภาฯ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง หลังจาก 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน) และคาดว่า
จะได้ ครม. ใหม่เข้ามาทำงานราว สิงหาคม 2566 จึงจะแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ทางโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ประเมินว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้องทำงาน และ รักษาการ ต่อไปจนถึงช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2566 โดยมีข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่
ได้แก่
และด้วยข้อจำกัดข้างต้น ส่งผลให้หลายโครงการที่กระทรวงคมนาคมรอเสนอ ครม. ซึ่งมีวงเงินกว่า 7 แสนล้านบาท อาทิ โครงการส่วนต่อขยายรถไฟชานเมืองสายสีแดง รวมถึงการโอนสิทธิบริหาร 3 สนามบินให้ ทอท. และโครงการรถไฟทางคู่ ระยะ 2 เป็นต้น จึงทำให้ ครม. ชุดปัจจุบันจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนหมดวาระ ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินวันที่ 15 มี.ค. 66 (กรณียุบสภา) หรือวันที่ 23 มี.ค. 66 (กรณีอยู่ครบวาระ)
สรุป การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐเริ่มเห็นแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในโครงสร้างพื้นฐาน ขณะเดียวกัน Timeline หลังยุบสภาในปี2566 ที่ชัดเจนมากขึ้น บวกกับ การปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. รักษาการ จะไม่สามารถอนุมัติโครงการที่ผูกพัน ครม.ใหม่ได้ซึ่งจากข้อจำกัดดังกล่าว ส่งผลให้หลายโครงการที่กระทรวงคมนาคมรอเสนอ ครม. จำเป็นต้องดำเร่งเนินการให้แล้วเสร็จก่อนหมดวาระปัจจัยข้างต้นคาดว่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มก่อสร้าง รับเหมา อาทิ
CK, STEC, TASCO, ITD เป็นต้น