นักลงทุนต่างชาติยังคงถล่มขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ณ 24 มีนาคม 2566 นักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิรวมแล้ว 5.49 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิถึง 2.03 แสนล้านบาท
ในงานสัมมนา SET in The Rabbit Hole: หุ้นไทยปีกระต่าย 2023 จัดโดยหนังสืือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ และ Than Digital ช่วง “จับสัญญาณหุ้นไทย จัดพอร์ตอย่างไรให้รอด” ได้รับเกียรติจากดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดและนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX)
ดร.วิศิษฐ์กล่าวว่า วิกฤตแบงก์ที่เกิดขึ้นในยุโรปและสหรัฐฯนำไปสู่จังหวะของการลงทุน โดยจะเห็นว่าในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเจอวิกฤตถึง 8 ครั้ง ซึ่งวิกฤตแต่ละครั้งมักจะนำมาสู่โอกาสและถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะหาจังหวะเข้ามาซื้อหุ้นที่มีผลตอบแทนดี และเชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติเองก็จะกลับมา อาจจะกลับมาภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า
“วิกฤตแบงก์ล้มในยุโรปและสหรัฐฯ ตอนนี้ยังห่างไกลจากช่วงวิกฤตซับไพรม์มากๆ จึงเชื่อว่า เงินจะทยอยไหลเข้าสู่เอเชียในไม่ช้า ซึ่งเบื้องต้น กลุ่มที่น่าจะยังคงเติบโตได้หลังผ่านวิกฤตรอบนี้ไปแล้ว คือ กลุ่มธุรกิจ Healthcare หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ กลุ่ม Utilities หรือธุรกิจด้านสาธารณูปโภค รวมทั้งกลุ่มสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง”ดร.วิศิษฐ์กล่าว
ทั้งนี้สิ่งที่เห็นในไตรมาส 2 คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะใกล้จบขาขึ้นแล้ว จากนี้ไปอาจจะขึ้นอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และ Earning Yield Gap หรือส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงอยู่สูง ทำให้เงินยังคงไหลเข้าอยู่ โดยเห็นนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาซื้อในรอบหลายเดือน
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่ควรติดตามใกล้ชิดคือ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการคว่ำบาตรเรื่องการเงินและตลาดทุน ระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และหนี้สินครัวเรือนของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตา เพราะจะมีทั้งปัจจัยบวกและลบ
ขณะที่เป้าหมายของดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับ 1,690 จุด กรณีพื้นฐานจะอยู่ที่ระดับ 1,580 จุด ซึ่งในการปรับพอร์ตลงทุนยังจำเป็นต้องมีหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอยู่ในพอร์ตต่อไป ส่วนการเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้น แนะนำหุ้นในกลุ่มของธุรกิจสื่อ ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจการค้า และแบงก์ ซึ่งยังมีความแข็งแกร่งอยู่มาก
ด้านนายสุกิจกล่าวว่า ปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจยังไม่เอื้อต่อการลงทุนในหุ้นไทย จากความผันผวนของเศรษฐกิจและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งค่าเงิน การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่ชัดเจนและเงินทุนไหลเข้าไหลออก ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของสถาบันการเงินไทยแข็งแกร่งพอที่จะรับความเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปิดธนาคารสหรัฐฯและยุโรป แต่ยังไม่มีเหตุการณ์ที่จะทำให้หุ้นขึ้นแรงๆ ได้ในช่วงนี้
อย่างไรก็ดี หากถามถึงโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ คงเป็นช่วงหลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ผ่านไปแล้ว โดยจะเริ่มเห็นผลดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาและช่วงต้นปีนี้สถานประกอบการไม่ดีมาก เพราะต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้น จากสถานการณ์เงินเฟ้อ แต่ยังคาดว่า กำไรต่อหุ้นในปี 2566 จะโตได้ 12% ซึ่งยังเป็นระดับปกติ
“ย้ำว่าปัจจัยพื้นฐานการเติบโตผลประกอบการของเรายังไปได้ ปัจจัยแวดล้อมที่เข้ามากระทบ หุ้นอาจมีการปรับลงบ้าง แกว่งตัวบ้าง SET Index หลุด 1,600 จุดบ้าง แต่ไปได้” นายสุกิจกล่าว
ทั้งนี้ หากเทียบเหตุการณ์ปิดธนาคารในสหรัฐฯและยุโรป ตลาดหุ้นไทยร่วงถึง 5% มากกว่า 2 ประเทศดังกล่าว แต่จะเป็นโอกาส เพราะเราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์นี้ แม้จะยังมีความเสี่ยงที่รออยู่ แต่โอกาสหุ้นไทยคือ จังหวะที่ลงทุนและน่าซื้อและอีกหนึ่งจุดเราได้อานิสงส์คือ รอจังหวะที่เฟดจะส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งยังต้องรอต่อไป เพราะการประชุมแต่ละครั้งยังเปลี่ยนโทนไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม หากประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า ตลาดการเงินโลกยังคงมีความเสี่ยงและเปราะบาง จากผล กระทบของวิกฤตธนาคารในสหรัฐฯและยุโรปที่ยังต้องติดตามต่อไป แต่อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นรอบนี้กระทบพื้นฐานตลาดหุ้นไทยอย่างจำกัด คาดว่า ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ยังมีความเสี่ยงผันผวนอยู่ แต่คาดว่า หุ้นไทยจะมีโอกาสในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
ทั้งนี้ หากแนะนำหุ้น Best of the best ได้คัดเลือก 5 หุ้นเด่นที่ดีสุดในบรรดา 27 หุ้นที่อยู่กายใต้การดูแล ซึ่งเราแนะนำ Outperform ได้แก่ AU BBL BDMS CPALL GUIF ซึ่งมีจุดแข็งที่โดดเด่น คือ เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมของไทย กำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้น Valuation ไม่แพง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,874 วันที่ 30 มีนาคม - 1 เมษายน พ.ศ. 2566