นับตั้งแต่ผ่านพ้นการ "เลือกตั้ง66" หรือแค่ประมาณ 10 วัน ตลาดหลักทรัพย์ พบว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป (Market Cap.) ของตลาดหุ้นไทย หากนับตั้งแต่วันที่ 12-23 พ.ค.2566 ปรับตัวลดลง 327,454.73 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 1.7%
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า หลังจากเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่าแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลคือ "พรรคก้าวไกล" ทำให้เริ่มมีการประเมินนโยบายที่หาเสียงว่าบริษัทไหนจะได้รับผลกระทบทั้งในเชิงบวก และลบ
ขณะที่ Market Cap. ตลาดหุ้นไทย ปรับลดลง 2% ในช่วงระหว่างวันของวันที่ 15 พ.ค.2566 ก่อนที่จะมีการประกาศเซ็น MOU พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งหลังการแถลง MOU ชัดเจน ทำให้ Market Cap. ที่ลดลง 2% กลับมาลดลงเพียง1.5% แต่ยังไม่สามารถกลับไปยืนระดับเดียวกับวันที่ 12 พ.ค.2566 ได้
รวมทั้งนโยบายบางอย่างอาจจะทำไม่ได้เต็มที่เหมือนช่วงหาเสียง ประกอบกับด้าน นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) "GULF" ช้อนซื้อหุ้นติดต่อกัน 3 วัน เหมือนเป็นการยืนยันว่าสถานการณ์อาจจะไม่แย่อย่างที่คิด ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าตลาดน่าจะหายแพนิค และแกว่งตัวไซต์เวย์ ซึ่งหากทุกอย่างออกมาในทางที่ดีตลาดจะปรับตัวดีขึ้นในระยะข้างหน้า
ส่วนกรณีที่ต่างชาติยังเทขายออกมาต่อเนื่อง เป็นเพราะทิศทางการเมืองไม่ชัดเจน แต่หากมีความชัดเจนทุกอย่างสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยให้ดูหุ้น กลุ่มธนาคาร เพราะในมุมนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแบงก์เป็นเหมือนตัวแทนเศรษฐกิจไทย ถ้ามองเศรษฐกิจดีก็ฝากเงินเข้า
ประกอบกับการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับ "ขึ้นดอกเบี้ย" อีกรอบ อาจทำให้กลุ่มแบงก์ใหญ่ ได้รับปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
นอกจากนี้สิ่งที่น่าสังเกตุใน NVDR ในวันที่ 22 พ.ค.2566 หุ้นแบงก์เป็นฝั่ง "net buy" และติด 1 ใน 3 ของกระดาน NVDR ขณะที่วันที่ 23 พ.ค.2566 หุ้นธนาคาร มีการซื้อสุทธิ 989 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี
อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังต้องคุมการเทรดให้ดี "อย่าใส่เต็ม 100%" เนื่องจากตลาดยังไว้ใจไม่ได้ แม้สัญญาณบางอย่างจะบ่งบอกว่าดัชนีถึงจุด Bottom โดนควรเลือกหาหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับความกังวลของเศรษฐกิจ หรืออิงนโยบายมากจนเกินไป เพื่อคุมความเสี่ยง