“ฐานเศรษฐกิจ”สำรวจความเห็นในวงการตลาดเงินถึงหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้พบว่า หุ้นกู้ที่มีปัญหาพุ่งขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากกระแสเงินสดของบางบริษัทยังไม่กลับมาเต็มที่ และยังมีหุ้นกู้ส่วนหนึ่งที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มาแล้วหลายรอบ ซึ่งมีหลายกรณีที่มีปัญหาเรื่อง ธรรมาภิบาล ทำให้กระทบความสามารถในการชำระคืนหนี้ในช่วงที่เหลือได้
ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับตลาดทุน ทั้งหน่วยงานกำกับและผู้ออกตราสารหรือผู้มีส่วนร่วมทุกคนต้องช่วยการให้ข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะคราวนี้เกิดปัญหาเข้ามาในผู้เล่นระดับกลาง ซึ่งแตกต่างเหตุการณ์หลายปีที่ผ่านมาที่เกิดปัญหาเฉพาะกรณีไม่ลุกลาม
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีกลุ่ม Call Default ใน 3 บริษัท หุ้นกู้ 8 รุ่น มูลค่ารวม 10,619 ล้านบาท ได้แก่
นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์ธุรกิจทีทีบี (ttb analytics) เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หุ้นกู้เอกชนที่ออกใหม่ปีนี้มียอดรวม 3.69 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ออกหุ้นกู้มากสุดคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์มี 321 ราย วงเงิน 7.9 แสนล้านบาทคิดเป็น 22% ของหุ้นกู้ที่ออกใหม่ทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มไฟแนนซ์ 18% และกลุ่มพลังงาน 16% ขณะที่ปีนี้จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระมูลค่า 4.92 แสนล้านบาท โดยเป็นกลุ่มอสังหาฯ 9.5 หมื่นล้านบาท
“หุ้นกู้ที่ออกส่วนใหญ่เป็นอันดับเครดิตที่ลงทุนได้ แต่ต้องจับตาหุ้นกู้กลุ่มอสังหาฯ ที่ออกมาค่อนข้างเยอะ ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของหุ้นกู้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เก็งกำไร เรทติ้งต่ำหรือไม่ได้จัดอันดับเลย ซึ่งเมื่อครบกำหนดอายุ ต้นทุนที่ออกใหม่เพื่อนำมาชำระคืนจะแพงกว่าที่ผ่านมา เฉพาะปีนี้ มีหุ้นกู้กลุ่มอสังหาฯจะหมดอายุ 95,084 ล้านบาทและปีหน้าอีก 155,997 ล้านบาท”นายนริศกล่าว
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า แนวโน้ม 7 เดือนข้างหน้าของปีนี้ จะมีบริษัทเอกชนระดมทุนผ่านตราสารหนี้ (หุ้นกู้)เพิ่มเติมอีกประมาณ 6.7 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการระดมทุน เพื่อชำระคืนหนี้ ไถ่ถอนหุ้นกู้เดิม ซึ่งทยอยครบกำหนดราว 376,939 ล้านบาท รวมทั้งล็อกต้นทุนทางการเงินเตรียมสภาพคล่อง เพื่อขยายหรือลงทุนในกิจการตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ขณะที่ภาพรวม 5 เดือนที่ผ่านมา เอกชนได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 903,425ล้านบาท กระจายตัวใน 21 ธุรกิจ ซึ่งมีวงเงินตั้งแต่ 125 ล้านบาทสูงสุดถึง 2.37 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 61,696 ล้านบาทหรือ 7.33%จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 841,729 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ที่ออกไปแล้ว 903,425 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ระยะยาว 474,901 ล้านบาทและหุ้นกู้ระยะสั้นอีก 428,524 ล้านบาท
“การออกหุ้นกู้ขยายตัวต่อเนื่องจากปลายปีก่อน ด้วยทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งมีทั้งกลุ่ม Investment grade และกลุ่ม Non-rated เฉพาะกลุ่ม Non-rated ประมาณ 9,800 ล้านบาทคิดเป็น 1.1% ของหุ้นกู้ออกใหม่ 9.03 แสนล้านบาท คาดว่าทั้งปี จะมียอดออกหุ้นกู้ 1.1-1.3 ล้านล้านบาท ขณะที่นักลงทุนขายสุทธิบอนด์ไทยแล้ว 43,506 ล้านบาท จากทั้งปีที่แล้วซื้อสุทธิ 46,391 ล้านบาท”
นายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ตลาดหุ้นกู้มี Supply ออกมามากอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หลังโควิดกำลังซื้อนักลงทุนสถาบันทรงตัวไม่เพียงพอจะดูดซับ supply ที่เร่งตัวมาก จึงต้องกระจายการลงทุนมาในกลุ่มบุคคลธรรมดาและสหกรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกู้ออกขายให้กับประชาชนทั่วไป (Public Offering) มีปริมาณและสัดส่วนมากขึ้น โดยพบว่ามีสัดส่วนถึง 40% ของยอดการออกหุ้นกู้รวม
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ อายุสั้นๆไม่เกิน 3 ปี มีส่วนต่างอัตราผลตอบแทน(credit spread)แคบลง เนื่องจากเส้นอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ของรัฐที่ไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (risk-free govt bond curve) ปรับตัวขึ้นมากจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
ขณะที่กลุ่มอายุ 5 ปี อันดับความน่าเชื่อถือ A- และ BBB+ กว้างขึ้นชัดเจน ราว 10-20bp สะท้อนภาวะ supply ที่กดดัน ทั้งสองกลุ่มเรทติ้ง รวมทั้งนักลงทุนอาจจะเลือกลงทุนอายุสั้นลง และแนวโน้มยังมีโอกาสที่ credit spread อาจจะค่อย ๆ กว้างขึ้น
สำหรับความเสี่ยงของหุ้นกู้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
“ผู้ลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง อาจลงทุนในหุ้นกู้อายุสั้นลงบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้ โดยเน้นไปที่ BBB+ หรือ A- เป็นอย่างต่ำ ส่วนบริษัทผู้ออกหุ้นกู้อาจต้องหาแหล่งเงินกู้อื่นๆเพิ่ม เผื่อสภาพตลาดที่เงินหายากขึ้นหรือต้นทุนเงินที่แพงขึ้นหรือพิจารณาลด leverage ratio ไม่เช่นนั้นตลาดจะตึงตัว” นายสงวน กล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,892 วันที่ 1 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566