ทิสโก้ มองหุ้นไทย Q3 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แนะเก็งกำไรระยะสั้น 5 ธีมหุ้น

16 มิ.ย. 2566 | 09:45 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มิ.ย. 2566 | 09:46 น.

บล.ทิสโก้ มองตลาดหุ้นไทย (SET) ในไตรมาส 3/66 ขึ้นอยู่กับความชัดเจนทางการเมือง การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะราบรื่นหรือไม่ ให้กรอบดัชนี 1,500-1,600 จุด แนะกลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้น "ลงซื้อ-ขึ้นขาย" 5 ธีมหุ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย ในไตรมาส 3/66 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ที่อยู่ในขั้นตอนเสนอโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่าจะผ่านไปได้ราบรื่นหรือไม่ โดยให้กรอบเคลื่อนไหวในไตรมาส 3 นี้ 1,500-1,600 จุด มองในกรณีที่มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคาดจะเกิดขึ้นในเดือนส.ค. แต่หากมีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง SET อาจหลุดแนวรับ 1,500 จุด ให้แนวรับถัดไปที่ 1,450 จุด แต่กรณีที่มีเหตุวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ และเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยด้วย SET ก็มีโอกาสถอยแนวรับที่ 1,400 จุด

ทิสโก้ มองหุ้นไทย Q3 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แนะเก็งกำไรระยะสั้น 5 ธีมหุ้น

ในไตรมาส 3/66 ปัจจัยการเมืองมีน้ำหนักอยู่มาก โดยประเด็นการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่แน่นอน เป็นช่วงที่ตลาดกังวล การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอาจดำเนินการหลายครั้งหากไม่ผ่าน หรืออาจมีโอกาสเปลี่ยนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล มาเป็นพรรคเพื่อไทย ก็อาจเกิดความวุ่นวายขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ มองว่า เงินเฟ้อสหรัฐปรับลงช้ากว่าที่คาด ขณะที่เงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังอาจกลับมาขึ้นอีกก็จะส่งผลให้ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บรรยากาศหุ้นต่างประเทศที่เดินหน้าขึ้นต่อเนื่อง จากความคาดหวังวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสำคัญ ๆ ของโลกใกล้สิ้นสุด ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังได้รับผลกระทบจำกัดจากสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นไทยที่ร่วง -6% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ vs ตลาดหุ้นโลกโดยเฉลี่ย (MSCI World Index) ที่ปรับขึ้น +12% กลับมาดูน่าสนใจขึ้นในฐานะตลาดที่ยัง Laggard และในเชิงปัจจัยเทคนิค

ตลาดหุ้นไทยหลุดอิทธิพลจากแนวโน้มแกว่งซิกแซกลงของปีนี้แล้ว หลังจากที่ SET Index สามารถทะลุขึ้นออกจากกรอบ "Trendline" ขาลงที่บริเวณ 1,545 จุดได้สำเร็จ มีแนวโน้มยกตัวขึ้นจากกรอบแกว่งเดิมที่ 1,520-1,545 จุด เป็น 1,540-1,575 จุด  

อย่างไรก็ดี เรามองปัจจัยการเมืองในประเทศไม่แน่นอนสูง จากกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งกระบวนการสืบสวนไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนถึงให้ศาลมีคำตัดสินจะต้องใช้เวลานานหลายปี ทำให้คาดว่าการโหวตเลือกคุณพิธาเป็นนายกฯ จะไม่ราบรื่น และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความวุ่นวายได้ ดังนั้น เรายังคงคาดว่า SET Index คงไม่แกว่งไปไหนได้ไกลตราบใดที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจนเกิดขึ้น

สำหรับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อวันที่ 13-14 มิ.ย. ที่ผ่านมา แม้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5-5.25% ตามตลาดคาด แต่ปรับระดับอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปีนี้ (Dot Plot) ขึ้นจากเดิม 5.1% เป็น 5.6% ซึ่งเป็นระดับ Terminal Rate บ่งชี้ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ซึ่งถือว่าเข้มงวด (Hawkish) กว่าที่ตลาดประเมินไว้ อิงจากคาดการณ์ของตลาดโดยผ่าน Fed Fund Futures ประเมินว่า FED จะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกเพียง 1 ครั้งในเดือน ก.ค. ซึ่งแตกต่างจาก Dot Plot ของ FED อาจสะท้อนมุมมองของตลาดในแง่ดีเกินไป

ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป คือ แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุดดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) ในเดือน พ.ค. ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 อยู่ที่ +4.0% YoY, +0.1% MoM ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ +4.1% YoY, +0.1% MoM แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) อยู่ที่ +5.3% YoY, +0.4% MoM (ตลาดคาด +5.2% YoY, +0.4% MoM) ยังทรงตัวในระดับสูง vs จุดสูงสุดที่ +6.6% YoY ในเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ถือว่าเงินเฟ้อปรับลงช้า มองเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะลดลงแตะจุดต่ำสุดในเดือน มิ.ย. ที่ระดับต่ำกว่า 4% เป็นเดือนสุดท้าย เนื่องจากผลกระทบฐานสูงในปีที่แล้วหมดไปก่อนที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจสร้างความกังวลแก่ตลาดได้

ส่วนมองแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเห็นการชะลอตัวมากขึ้น, เงินเฟ้อที่จะดีดกลับในครึ่งปีหลัง และการส่งสัญญาณที่เข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ FED จะเป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกไปในระดับราคาหุ้นปัจจุบันมากแล้ว โดยคิดเป็น Fwd. PER ปีหน้าที่สูงถึงเกือบ 19 เท่า vs ค่าเฉลี่ยระยะยาวในอดีตที่ประมาณ 15-16 เท่า หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับมากกว่า +1SD

โดยสรุปช่วงนี้เราแนะนำใช้ในกรอบ SET Index 1,540-1,575 ในการเทรดดิ้ง-เก็งกำไรระยะสั้น ใช้กลยุทธ์ลงซื้อ-ขึ้นขาย โดยมี 5 ประเด็นหุ้นที่น่าสนใจระยะสั้นดังนี้

  • หุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์จากจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (China Play)  :  PTTEP, TOP, SCC, IVL, HANA, NER, TKN
  • หุ้นคาดเข้า SET50 ได้แก่ TLI, WHA  และหุ้นที่คาดเข้า SET100  ได้แก่  AEONTS, BA, BTG, SISB, SNNP
  • หุ้นเข้าข่าย Window Dressing :  LH, PTTGC, SCGP, VGI
  • หุ้นที่กำไร Q2 เบื้องต้นคาดจะออกมาดี มี Upside มากกว่า 15% YoY & QoQ :  ADVANC, BEM, BJC, CPALL, MAKRO, MOSHI, SAPPE, SCB, SPA / YoY - BDMS, CRC, PRM, TOA
  • หุ้น Bottom Fishing  :  BAM, EGCO, MEGA, PLT