จากการที่สํานักงาน ก.ล.ต. ได้มีหนังสือที่กลต.จท.-2.2209/2566 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ได้แจ้งความเห็นของสํานักงาน ก.ล.ต.เกี่ยวกับการนับรวมขนาดรายการของแผนการลงทุนของบริษัท ณุศาศิริ จํากัด (มหาชน) หรือ NUSA ที่จะมีการลงทุนเพิ่มเติม ในหุ้นของบริษัท วินด์เอนเนอร์ยี่โฮลดิ้ง จํากัด มหาชน (WEH) จำนวน 26.65% ซึ่งเดิม NUSA ได้มีการลงทุนในหุ้น WEH ในปี 2565 ไปแล้วจํานวน 7.12% ของจํานวนหุ้น WEH ทั้งหมด
ซึ่งสํานักงาน ก.ล.ต.พิจารณา และได้แจ้งความเห็นว่าเมื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการลงทุนเพื่อเป็นการกระจายการลงทุนไปในธุรกิจอื่น เช่นเดียวกับวัตถุประสงค์เดิมที่ NUSA ตัดสินใจลงทุนในปี 2565 และเป็นการลงทุนในหุ้น WEH ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ NUSA ได้ลงทุนไปก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นจึงเห็นควรรวมการคํานวณขนาดรายการของการลงทุนในหุ้น WEH ที่ลงทุนไปแล้วกับการลงทุนในครั้งนี้
และต่อมาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 NUSA ได้แจ้งข่าวผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 4/2566 ที่ประชุมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2566 เรื่องการได้มาซึ่งหุ้นของ WEH การลดทุนจดทะเบียน การเพิ่มทุนจดทะเบียน การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจํากัด (Private placement) โดยระบุว่า คณะกรรมการ NUSA ได้มีมติอนุมัติการซื้อหุ้นสามัญของ WEH จํานวนไม่เกิน 29,008,091 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 26.65% ของจํานวนหุ้นที่จดทะเบียนและชําระแล้วของ WEH จากบริษัท ธนา พาวเวอร์วัน จํากัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ WEH ในราคาหุ้นละ 405 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 11,748,276,855 บาท โดยมีขนาดรายการสูงสุดเท่ากับ 99.90% ตามเกณฑ์มูลค่าหุ้นทุนที่ออกเพื่อชําระราคาสินทรัพย์ โดยคํานวณจากงบการเงินรวมของ NUSA ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีแล้ว สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566
ทั้งนี้ สํานักงาน ก.ล.ต. ขอให้คณะกรรมการ NUSA ชี้แจงเหตุผลที่ NUSA ไม่ได้คํานวณขนาดรายการตามผลการพิจารณา ที่สํานักงาน ก.ล.ต.ได้แจ้ง NUSA แล้วเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น
เรื่องนี้ นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงในแต่ละประเด็นดังนี้
1. การคํานวณขนาดรายการ
1.1 ขอให้ NUSA ชี้แจงว่าเหตุใดคณะกรรมการจึงพิจารณาคํานวณขนาดรายการธุรกรรมการซื้อหุ้นสามัญของ WEH โดยไม่นับรวมรายการที่ NUSA ลงทุนในหุ้นเมื่อปี 2565 ด้วย ทั้งที่ NUSA ได้รับทราบความเห็นของสํานักงาน ก.ล.ต.แล้ว
คําชี้แจง :
ในการคํานวณขนาดรายการ คณะกรรมการ ได้พิจารณาจากหลักเกณฑ์ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่ทจ. 20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทํารายการที่มีนัยยะสําคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการปฎิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินพ.ศ. 2547 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2547 ข้อ 12 ซึ่งมีข้อความดังนี้
การพิจารณานับรวมรายการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ตามวรรคหนึ่งให้รวมถึงรายการดังต่อไปนี้
โดยตามหลักเกณฑ์ข้อ 12 นี้คณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว การลงทุนใน WEH เมื่อปี 2565 เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริษัทในการประชุมครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 อนุมัติการซื้อหุ้นสามัญใน WEH จํานวน ไม่เกิน 8,755,000 หุ้น จากผู้ถือหุ้นรายย่อยของ WEH คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,545,775,000 บาท คิดเป็น 49.80% ของสินทรัพย์รวมของ NUSA ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน (NUSA ซื้อหุ้น WEH ได้เพียง 7.12% ของจํานวนหุ้นทั้งหมดของ WEH และชําระการลงทุนด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ NUSA เป็นจํานวน 3,459,057,300 หุ้นคิดเป็นมูลค่า 3,113,151,570 บาท)
และการอนุมัติการลงทุน WEH ในครั้งที่ 2 นี้ตาม มติคณะกรรมการบริษัทในการประชุมครั้งที่ 4/ 2566 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2566 โดยอนุมัติการซื้อหุ้นสามัญของ WEH จํานวนไม่เกิน 29,008,091 หุ้น ในราคาหุ้นละ 405 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 11,748,276,855 บาท คิดเป็นร้อยละ 99.90 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตน (NTA)ของ NUSA ซึ่งไม่ถึงร้อยละ 100 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตน
ตามหลักเกณฑ์ข้อ20 ( 1) จากบริษัท ธนา พาวเวอร์วัน จํากัด จะเห็นว่าการอนุมัติการลงทุนในหุ้น WEH ครั้งที่ 2 นี้ห่างจากครั้งแรก 1 ปี 5 เดือน 27 วัน ซึ่งไม่ได้อยู่ในกรอบ 6 เดือน ตามข้อ 12 (1) ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายการเขาถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการตามข้อ 12(2) อีกทั้งผู้ขายหุ้น WEH ในครั้งที่ 2 นี้เป็นนิติบุคคล ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนซื้อหุ้น WEH เมื่อปี 2565
นอกจากนี้ยังมีหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องคือข้อ 21 ว่าด้วยรายการประเภทที่ 4 ข้อความ “ตลาดหลักทรัพย์อาจพิจารณารวมรายการต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่าง 12 เดือน ก่อนวันที่บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยมีการได้มาซึ่งสินทรัพย์เป็นรายการเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบมูลค่าของรายการได้”
คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจากหลักเกณฑ์ข้อ 12 ข้อ 20(1) และข้อ 21 เห็นว่า การพิจารณาอนุมัติการลงทุนใน WEH ครั้งที่ 2 นี้ไม่เข้าหลักเกณฑ์การคํานวณขนาดรายการของการลงทุนในหุ้น WEH ที่ลงทุนไปแล้วกับการลงทุนครั้งนี้ ดังนั้นคณะกรรมการ จึงพิจารณาคํานวณขนาดรายการธุรกรรมการซื้อหุ้นสามัญของ WEH โดยไม่นับรายการที่ NUSA ลงทุนในหุ้น WEH เมื่อปี 2565
นอกจากนี้สํานักงาน ก.ล.ต.มีความเห็นว่าการทําธุรกรรม ลงทุนซื้อหุ้น WEH เมื่อปี 2565 และการลงทุนซื้อหุ้น WEH ในครั้งนี้เห็นควรให้คํานวณขนาดรายการ ทั้งสองครั้งเข้าด้วยกันซึ่งทําให้ขนาดในการได้มาซึ่งทรัพย์สินมีมูลค่า 100% หรือมากกว่า ซึ่งเข้าข่าย เป็นรายการประเภทที่ 4 การเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯโดย
อ้อม (Backdoor Listing)
คณะกรรมการขอเรียนว่า NUSA ไม่ได้มีเจตนาในการกระทําดังกล่าว การดําเนินการธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ย่อมต้องยึดกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน ก็ต้องพยายามบริหารธุรกิจของบริษัทให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เป็นสําคัญ ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีมีผลกระทบกับการประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์โรคโควิด 19 จะเห็นได้ว่ามีธุรกิจในประเทศไทยและในต่างประเทศประสบภาวะขาดทุนต้องมีการปลดพนักงานหรือยกเลิกกิจการจํานวนมาก แต่ NUSA ยังคงประคองรักษาธุรกิจไว้ได้
ปรับกลยุทธ์มุ่งสู่ธุรกิจพลังงาน
NUSA จึงมีความจําเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจไปแสวงหาธุรกิจอื่นที่มีความมั่นคงและมีและผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง คณะกรรมการได้ตั้งเป้าไปที่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า จึงได้เริ่มลงทุนซื้อหุ้นสามัญใน WEH ในปี 2565 ซึ่ง ณ ขณะนั้นจากความพร้อมของผู้ขาย (ผู้ถือหุ้นรายย่อย ของWEH ) และความพร้อมของ NUSA รวมทั้งการพิจารณาความเสี่ยง จึงได้ตัดสินใจ ซื้อหุ้นจาก WEH ในวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 3,545,775,000 บาท คิดเป็น 49.80% ของสินทรัพย์รวมของ NUSA ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน และจากผลการลงทุน ในครั้งนั้น NUSA ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินปันผล สําหรับผลประกอบการปี 2565 เป็นเงิน 162.7 ล้านบาท
ต่อมาในปี 2566 NUSA ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการลงทุนซื้อหุ้นสามัญใน WEH ได้รับผลตอบแทนที่ดีประกอบกับเม่ือพิจารณาถึงศักยภาพของ WEH ได้มีการ ขยายงานได้รับสัญญาขายไฟฟ้าเพิ่มอีก 120 MW อีกทั้งคดีความต่างๆของ WEH ก็มีแนวโน้มที่เป็นประโยชน์ต่อ WEH ดังนั้น NUSA จึงได้ตัดสินใจเพิ่มการลงทุนใน WEH เพิ่มเติมในครั้งนี้สําหรับมูลค่าการลงทุน คิดเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 11,748,276,885 บาท หรือคิดเป็น 99.90% ตามเกณฑ์มูลค่าหุ้นทุนที่ออกเพื่อชําระราคาสินทรัพย์จากงบการเงินไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 โดยซื้อจากบริษัท ธนา พาวเวอร์วัน จํากัด สําหรับมูลค่าการลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามความพร้อมของผู้ซื้อและผู้ขาย ตลอดจนคํานึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น NUSA เป็นสําคัญ รวมทั้งการพิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ
ยันไม่มีเจตนาครอบงำกิจการ
"การเข้าทํารายการในครั้งนี้ มิได้มีเจตนาที่จะเป็นการครอบงํากิจการ (Backdoor)แต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าการลงทุนในปี 2566 ห่างจากการลงทุนครั้งแรกในปี 2565 เป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน 27 วัน ซึ่งคณะกรรมการดูแล้วเป็นระยะเวลาที่เกินกว่า 12 เดือน"
อีกทั้งช่วงเวลาในการลงทุนในครั้งนี้ก็รอดูผลตอบแทนเงินปันผลจาก WEH ซึ่ง NUSA ได้รับเงินปันผลจาก WEH จํานวน 3 ครั้ง ได้แก่ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 จํานวน 19.37 ล้านบาท , วันที่ 24 พฤษภาคม 2566 จํานวน 58.11 ล้านบาท และวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 จํานวน 85.23 ล้านบาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 162.71 ล้านบาท ดังนั้นคณะกรรมการจึงใคร่ขอความเป็นธรรมจากสํานักงาน ก.ล.ต. ในการพิจารณารายการดังกล่าว ซึ่งผลการพิจารณาของ สํานักงาน ก.ล.ต. จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญ ต่อผู้ถือหุ้นของ NUSA
1.2 ขอให้ NUSA ทบทวนและปรับปรุงการคํานวณขนาดรายการธุรกรรมการซื้อหุ้นสามัญของ WEH ข้างต้น โดยให้นับรวมขนาดของรายการที่ NUSA ลงทุนในหุ้นสามัญของ WEH เมื่อปี 2565 ด้วย
คําชี้แจง :
NUSA พร้อมที่จะปฏิบัติตามเพียงแต่ขอให้สํานักงาน ก.ล.ต. โปรดรับฟังและพิจารณาเหตุผลที่คณะกรรมการ NUSA ได้ชี้แจงสาเหตุที่ไม่ได้นับรวมรายการที่ NUSA ลงทุนในหุ้น WEH เมื่อปี 2565 ตามรายละเอียดในข้อ 1.
2. ขอให้คณะกรรมการ NUSA ชี้แจงว่า ผู้ขายหุ้นใน WEH ในครั้งนี้มีความสัมพันธ์กับ NUSA หรือกรรมการ ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NUSA หรืออย่างไร และคณะกรรมการ NUSA ได้ทำ Due Diligence ความสัมพันธ์บุคคลดังกล่าวกับNUSA ก่อนเข้าลงทุนในหุ้น WEH แล้วหรือไม่อย่างไร
คําชี้แจง
ผู้ขายหุ้นใน WEH ครั้งนี้คือ บริษัท ธนา พาวเวอร์วัน จํากัด (“TONE”) เมื่อขายหุ้นให้กับ NUSA แล้ว TONE จะปิดกิจการและโอนหุ้น NUSA ทั้งหมดให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น (Entire Business Transfer ("EBT")) ซึ่งผู้ถือหุ้น TONE มีจํานวนทั้งสิ้น 47 ราย โดยมีรายละเอียดโครงสร้างการถือหุ้นของ NUSA ก่อนและหลังทํารายการ 10 รายแรก ดังนี้
แจงความสัมพันธ์ผู้ถือหุ้นใหญ่ NUSA-WEH
คณะกรรมการบริษัทพิจารณาในเบื้องต้นแล้ว เห็นว่า ผู้ถือหุ้น TONE ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ (นิยามว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หมายถึง ผู้ถือหุ้นทั้งทางตรงหรือทางอ้อมในนิติบุคคลใดเกินกว่าร้อยละ 10 ของจํานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของนิติบุคคลนั้น โดยนับรวมการถือหุ้นของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย) และผู้ถือหุ้น TONE เกือบทั้งหมด ไม่ได้เป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯแต่อย่างใด มีเพียงนายไพโรจน์ ศิริรัตน์ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ และเป็นผู้ถือหุ้น TONE ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นในครั้งนี้
โดยคณะกรรมการบริษัท เห็นว่าการทํารายการครั้งนี้ไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. 2535 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่ทจ. 21/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทํารายการที่เกี่ยวโยงกันกําหนดให้บริษัทจดทะเบียนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กําหนด ที่กําหนดประเภทรายการเกี่ยวที่เกี่ยวโยงกัน 5 ประเภท ได้แก่
ดังนั้น การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตาม พรบ.และประกาศที่เกี่ยวข้องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม NUSA ได้แต่งตั้งบริษัท ดิสคัพเวอร์แมเนจเม้นท์จํากัด เป็นปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อทํา Due Diligence ความสัมพันธ์บุคคลดังกล่าวด้วยแล้ว อยู่ระหว่างรอผลการทํา Due Diligence เมื่อทราบผลแล้ว บริษัทฯจะปฏิบัติตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการทํารายการ และนําเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติต่อไป
3. ขอให้ NUSA ชี้แจงว่า ผู้ขายหุ้นใน WEH ในครั้งนี้มีความสัมพันธ์ระหว่างกันหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งในอดีตและปัจจุบันบุคคลดังกล่าวเคยแสดงพฤติกรรม หรือลักษณะของ Acting in concert กับ NUSA หรือบริษัทจดทะเบียนแห่งอื่นหรือไม่อย่างไร และคณะกรรมการ NUSA ได้ทํา Due Diligence ความสัมพันธ์บุคคลดังกล่าวก่อนเข้าลงทุนในหุ้น WEH แล้วหรือไม่อย่างไร
คําชี้แจง
บริษัทฯได้แต่งตั้งบริษัท ดิสคัพเวอร์แมเนจเม้นท์จํากัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อทํา Due Diligenceความสัมพันธ์บุคคลและการกระทําในลักษณะของ Acting in concert แล้ว ตามคําชี้แจงในข้อ 2. โดยคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ว่าผู้ผู้ถือหุ้น TONE ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นบางรายจะมีความเกี่ยวพันกันทางเครือญาติ แต่บริษัทฯได้รับการยืนยันจากผู้ถือหุ้นทุกรายดังกล่าวว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันในการลงทุน แต่ละคนเป็นอิสระในการตัดสินใจลงทุน การได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯในครั้งนี้เป็นไปตามรายการ EBT เพราะแต่ละคนได้ถือหุ้นใน TONE อยู่แต่เดิม จึงไม่เป็นบุคคลที่กระทําการร่วมกัน (Concert Party) แต่อย่างใด ที่จะส่งผลให้ผู้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นครั้งนี้ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯอย่างไรก็ตาม บริษัทฯอยู่ระหว่างรอผลการทํา Due Diligence ความสัมพันธ์บุคคล เมื่อทราบผลแล้ว บริษัทฯจะปฏิบัติตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการทํารายการ และนําเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติต่อไป