STARK ตั้ง"ปริญญา จั่นสัญจัย"นั่งเก้าอี้ประธานบอร์ดและกก.ลงนามผูกพัน

12 ส.ค. 2566 | 13:45 น.
อัพเดตล่าสุด :17 ส.ค. 2566 | 03:09 น.

STARK แต่งตั้งอดีตรองอธิบดีอัยการฯ "ปริญญา จั่นสัญจัย"นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการ และกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพัน มีผลทันที ขณะที่"ประสงค์ โสดาวัง"เป็นกรรมการได้เพียง 1 เดือน ล่าสุดยื่นลาออกแล้ว

บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่15/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 มีมติสำคัญ ดังนี้ 

1.อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนกรรมการที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ ดังนี้

1.1 แต่งตั้ง นายปริญญา จั่นสัญจัย เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริษัท แทน นายอภิวุฒิ ทองคำ ซึ่งลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.2566

( สำหรับประวัติ นายปริญญา จั่นสัญจัย จากคลังข้อมูลของ "ฐานเศรษฐกิจ " พบว่า นายปริญญา จั่นสัญจัย อดีตรองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นหนึ่งในคณะทำงานและผู้ทำสำนวนคดีโด่งดัง "ซานติก้าผับ" ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2551  )   

1.2.แต่งตั้งนายพีระ ดุลยานุรักษ์ เข้าดำรงตำแหน่ง กรรมการอิสระ แทน นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ซึ่งลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.2566

1.3.แต่งตั้งนายวิจักร อากัปกริยา เข้าดำรงตำแหน่ง กรรมการอิสระ แทน นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต ซึ่งลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.2566

2. อนุมัติการแต่งตั้ง นายอรรถพล วัชระไพโรจน์ เข้าดำรงตำแหน่งเลขานุการของบริษัท แทน นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต รักษาการเลขานุการของบริษัท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2566 เป็นต้นไป

3. อนุมัติการแต่งตั้ง นายอรรถพล วัชระไพโรจน์ เข้าดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมดูแลการทำบัญชีของบริษัท แทน นายวิฑูรย์ สุริยารังสรรค์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2566 เป็นต้นไป

4. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ดังนี้

เดิม “นายอรรถพล วัชระไพโรจน์ ลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอีกหนึ่งคน รวมเป็นสองคนและประทับตราสำคัญของบริษัท”

แก้ไขเป็น “นายอรรถพล วัชระไพโรจน์ และ นายปริญญา จั่นสัญจัย ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท”

อนึ่ง ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริษัทเสร็จสิ้น นายประสงค์ โสดาวัง ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท และทุกตำแหน่งในบริษัท เนื่องจากติดภารกิจอื่น จึงอาจส่งผลให้ไม่สามารถปฏิบัติงานแก่บริษัทในฐานะกรรมการได้อย่างเต็มที่ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2566 เป็นต้นไป