หุ้นกู้เบี้ยวหนี้พุ่ง 2 หมื่นล้าน ระทึก"นอนเรตบอนด์"ครบดีล 2.3 หมื่นล้าน

01 ก.ย. 2566 | 05:50 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ย. 2566 | 11:58 น.

หุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้พุ่ง! 8 เดือน 7 ราย มูลหนี้ร่วม 2 หมื่นล้าน ระทึกกลุ่ม"นอนเรตบอนด์"ครบกำหนด ( ก.ย.- ธ.ค.66 ) วงเงิน 2.3 หมื่นล้าน ขณะที่หุ้นกู้ไฮบอนด์ยีลด์ออกใหม่เริ่มขายยาก แบกรับต้นทุนสูง ลุ้น"เจเคเอ็น" โหวต 27 ก.ย.นี้

สัญญาณ “หุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้” ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงที่เหลือของปี 2566 ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ณ วันที่ 31 ส.ค. 2566 หุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ (Default Payment : DP ) ถึงวันนี้มีทั้งสิ้น 7 บริษัท จำนวน 23 รุ่น มูลค่ากว่า 19,030  ล้านบาท  ประกอบด้วย
    

  • บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) จำนวน 5 รุ่น มูลค่าหนี้คงค้าง 9,198.4 ล้านบาท
  • บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (ALL) จำนวน 7 รุ่น มูลค่าหนี้คงค้างรวม 2,334.2 ล้านบาท
  • บมจ.เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป (ACAP) จำนวน 7 รุ่น มูลค่าหนี้คงค้างรวม 2,575.38 ล้านบาท
  • บมจ.เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ (APEX) จำนวน 1 รุ่น มีมูลค่าหนี้คงค้าง 765 ล้านบาท
  • บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) จำนวน 1 รุ่น มีมูลค่าหนี้คงค้าง 3,000 ล้านบาท
  • บริษัท เดซติเนชั่น โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (DR) จำนวน 1 รุ่น มีมูลค่าหนี้คงค้าง 557 ล้านบาท

ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN)  จำนวน 1 รุ่น โดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย  ได้ขึ้นเครื่องหมาย IC ( : Investor Caution ) เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66 เพื่อแจ้งให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มหุ้นกู้ของ JKN  และวันที่ 1 ก.ย.66 เมื่อบริษัทฯไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A ตามกำหนดทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย จึงขึ้นเครื่องหมายผิดนัดชำระหนี้ (DF)  จำนวน 1 รุ่น  "JKN239A" และเกิดเหตุครอสดีฟอลต์อีก 6 รุ่นที่เหลือ

 

หุ้นกู้เบี้ยวหนี้พุ่ง 2 หมื่นล้าน ระทึก\"นอนเรตบอนด์\"ครบดีล 2.3 หมื่นล้าน

 

    

เกาะติด“ไฮบอนด์ยีลด์" 2.38 หมื่นล้านครบไถ่ถอน


นายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากการที่ตลาดหุ้นกู้ไทย เริ่มส่งสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มในปีนี้ ได้ส่งผลต่อ Sentiment ตลาดหุ้นกู้ในวงกว้าง โดยเฉพาะหุ้นกู้กลุ่ม High Yield หรือ Non Rating ที่มีอันดับเครดิตตํ่ากว่า BBB- รวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิต จะขายได้น้อยกว่าที่จดทะเบียนไว้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการจะ Rollover ที่จะครบกำหนด และส่งกระทบกับสภาพคล่องของบริษัท หากไม่มีแหล่งเงินทุนสำรอง ก็ต้องยิ่งเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ลงทุน ทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนการเงินที่แพงขึ้น หากหนี้สินมีระดับสูง

ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย พบว่าในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.66) หุ้นกู้ไฮบอนด์ยีลด์หรือนอนเรตบอนด์ที่จะครบกำหนดมีประมาณ 23,825 ล้านบาท จากหุ้นกู้ทั้งหมดที่ครบมูลค่า 217,095 ล้านบาท  ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์

"ยอดคงค้างหนี้ กลุ่ม High Yield หรือ Non Rating คิดเป็นสัดส่วน 5% เทียบกับมูลค่าหุ้นกู้ทั้งระบบ และหากวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินไตรมาส 2/2566 พบว่า 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีความความสามารถในการชำระหนี้ตํ่า ได้แก่ 1.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง , 2.กลุ่มธุรกิจการเกษตร และ 3.กลุ่มของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ก่อหนี้สูง และคาดจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง" นายรุ่งโรจน์ กล่าว

 

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวกับ “ฐานเศษฐกิจ” ว่า หากมองในภาพรวมถือได้ว่าตลาดหุ้นกู้ มีต้นทุนปรับขึ้นสอดคล้องกับพันธบัตรรัฐบาล แต่ในส่วนของการขาย หุ้นกู้ที่มีเรทติ้งสูงยังพอขายได้ แต่ถ้าตํ่าลงมาเริ่มเห็นภาพของการขายที่ไม่ครบจำนวนตามวงเงินที่ตั้งใจระดมทุน

“ในช่วงที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีเครดิตถือได้ว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แม้จะมีปัญหาในหุ้นกู้ STARK ก็ตาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดไม่ได้ตกใจกับปัญหาดังกล่าวจนถึงขั้นเทขายทิ้งหุ้นกู้ออกมา เพราะนักลงทุนในตลาดมีความรู้ความเข้าใจสามารถแยกแยะออกว่า เป็นเหตุการณ์เฉพาะรายบริษัท”

สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่าเอกชนจะระดมทุนออกหุ้นกู้ไม่ตํ่ากว่า 300,000 ล้านบาท เพื่อรองรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนด และเป็นทุนหมุนเวียนขยายธุรกิจ จากต้นปีเป็นต้นมา  (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ส.ค.2566 ) เอกชนออกหุ้นกู้แล้วประมาณ 707,073 ล้านบาท
    
จับตาหุ้นกู้ JKN 7 รุ่น กว่า 3.3 พันล้านบาท

“ฐานเศรษฐกิจ”ได้รวบรวม หุ้นกู้กลุ่มที่มีปัญหา ในช่วง 8 เดือนปี 2566  เริ่มตั้งแต่ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) มูลหนี้ 9,198.4 ล้านบาท, บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ( ALL) มูลหนี้ 2,334.2 ล้านบาท

ในส่วนหุ้นกู้ที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้ หลังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้แล้ว อาทิ บมจ.ช ทวี (CHO) มูลหนี้คงค้าง 1,018 ล้านบาท เลื่อนจ่ายจากกลางปี 2566 เป็นกลางปี 2568, บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์( CGD )หุ้นกู้ 2 ชุด (CGD219A และ CGD 20OA) บริษัทฯแบ่งจ่ายหนี้บางส่วนก่อน 30 % ส่วนที่หนี้ 2 รุ่นที่เหลือรวม  670 ล้านบาท เลื่อนจ่ายเป็นปี 2567

ล่าสุดกรณี บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) แจ้งขอผ่อนผันหนี้หุ้นกู้รุ่น “JKN 239A” ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ก.ย. 66  โดยจะขอชำระเงินต้นบวกดอกเบี้ยบางส่วนก่อน 158.03 ล้านบาท จากมูลหนี้เงินต้นบวกดอกเบี้ยที่ครบ 609.98 ล้านบาท และคงเหลือยอดหนี้หุ้นกู้ค้างชําระ 451.95 ล้านบาท  นัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 27 ก.ย.นี้ เพื่อขอผ่อนผันปรับแผนชำระหนี้

JKN ออกหุ้นกู้ทั้งสิ้น 7 ชุด วงเงินต้นรวม 3,360.20 ล้านบาท โดยอีก 6 ชุดที่เหลือวงเงิน 2,760.20 ล้านบาท จะครบกำหนดไถ่ถอนปี ช่วงปี 2567-2568