ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หลังจากที่ได้โปรดเกล้าฯ "ครม.เศรษฐา ทวีสิน"จากนั้นจะเป็นการนำคณะรัฐมนตรีเข้าทำการถวายสัตย์ปฎิญาณ ตามด้วยการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก่อนที่จะเริ่มทำงาน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายในเดือน กันยายน 2566
หลังจากที่รัฐบาลใหม่เริ่มเข้าบริหารประเทศ ประเด็นที่จะอยู่ในความในใจ จะเป็นเรื่อง นโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย เช่น DIGITAL WALLET 10,000 บาท, ที่ดินทำกิน, ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, ลดค่าไฟ, เกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ, เพิ่มราคาพืชผลเกษตร, แก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้, กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ และจะแก้รัฐธรรมนูญ
โดยนโยบายที่ทุกคนจับตามอง คือ การแจก "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ให้กับคนที่มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยนายกฯ ยืนยันว่าจะเห็นมาตรการนี้ออกมาช่วง ต้นปี 2567 โดยเงินดิจิทัลที่แจกเป็น UTILITY TOKEN ประเภทที่ 1 ซึ่ง TOKEN ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์การใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภค ไม่สามารถนำมาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้
ในมุมของงบประมาณคาดการณ์ว่าจะต้องใช้เม็ดเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท โดยความเห็นจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุไว้ว่า แหล่งที่มาของเม็ดเงินน่าจะมาจาก 4 แหล่ง ดังนี้
ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าประเด็นดังกล่าว “อาจมีคำถามต่อแหล่งที่มาของเงินทุนอยู่บ้าง” อาทิ ต้องปรับลดงบลงทุนภาครัฐ, ลดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจากภาระหนี้สาธารณะในปัจจุบัน รวมถึงปรับลดสวัสดิการที่ถูกมองว่าซ้ำซ้อน นอกจากนี้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร?
ส่วนอีกแนวทางหนึ่งในการจัดหาแหล่งเงิน ในการดำเนินนโยบายคือ การใช้กู้เงิน โดยประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 61.15% (ข้อมูลล่าสุดเดือน มิ.ย.66) ซึ่งตามกรอบวินัยการคลังสามารถกู้เพิ่มได้จนกว่า หนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ระดับ 70% ซึ่งจะกู้เพิ่มได้อีกราว 1.58 ล้านล้านบาท (บนสมมุติฐานGDP 17.86 ล้านล้านบาท) แต่โดยหลักการแล้วไม่ควรกู้ จนเต็มเพดานหนี้
การเกิดขึ้นของ DIGITAL WALLET ฝ่ายวิจัย ฯ ประเมินว่าจำเป็นต้องสร้าง ECOSYSTEM ขึ้นมารองรับ ซึ่งกระบวนการดังกล่าว น่าจะสร้างประโยชน์ต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มหุ้นที่ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ และเครือข่ายโทรคมนาคม ADVANC TRUE COM7 SPVI CPW และกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ DIGITAL ASSET ทั้งหมด อาทิ BROOK JTS RS ANAN SIRI SC ORI ASW MAJOR JMART KBANK SCB XPG JTS GULF เป็นต้น โดยในช่วงเดือนกันยายนนี้ อาจเห็นการเก็งกำไรตามกระแสข่าว ซึ่งควรมีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ
ส่วนอีกนโยบายที่จะมาเจาะลึก คือ นโยบายลดค่าไฟ โดยปัจจุบันพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาชู 3 แนวทางหลักที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
1. การปรับลดราคพลังงาน น้ำมัน-ไฟฟ้า-ก๊าซ ทันทีเพื่อลด
ภาระการใช้จ่ายให้ประชาชน ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่หากพูดในมุมมองของวิธีการปรับลดในส่วนค่าไฟฟ้า จะเป็นการปรับลดในเชิงของโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้า โดยเป็นการปรับลดตามกลไกต้นทุนพลังงานที่แท้จริง ทั้งราคาน้ำมัน และก๊าซฯในตลาดโลก ต่างก็ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้า
2. การเร่งพิจารณาพื้นที่ทับซ้อน เพื่อเพิ่มแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูก ซึ่งในส่วนนี้ จะถือเป็นการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซฯเพื่อผลักดันให้มีราคาก๊าซฯที่ถูกลง โดยพรรคเพื่อไทยกล่าวว่าจะมีการเจรจาเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อที่จะนำก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม การสำรวจและขุดเจาะจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-8 ปี ดังนั้นหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นนโยบายแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าในระยะยาว
3. การสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มทางเลือก และเพื่อลดการพึ่งพิงพลังงานแบบดั้งเดิม เป็นการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลระดับครัวเรือน หรือให้ กฟผ. ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลเพื่อลดต้นทุนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
ในส่วนถัดมา พรรคเพื่อไทยเน้นการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก เนื่องจากเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึ่งล่าสุดมีกระแสข่าวว่าจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียม VISA ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย อาทิ จีน และอินเดีย ในช่วง HIGH SEASON(2H66) รวมทั้งการเพิ่มเที่ยวบิน และแผนในระยะยาวอย่างการพัฒนาสนามบิน และการให้ AOT เข้าบริหารสนามบินในต่างจังหวัดเพิ่มเติม
โดยประเมินผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มฯ เรียงตามสัดส่วนรายได้ในไทย ดังนี้ AOT ในฐานะประตูสู่ประเทศไทย >ERW สัดส่วนราว 90% มาจากโรงแรมไทย > CENTEL สัดส่วน 82% ของรายได้โรงแรมงวด 1H66 อยู่ในไทย (รายได้ร้านอาหาร :โรงแรม ที่ 58% : 42%) > MINT สัดส่วนรายได้ราว 50% มาจากใน EU
นอกจากนี้แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นช่วง 4Q66 คาดช่วยเพิ่มปริมาณ TRAFFIC ในศูนย์การค้า และเป็นแรงส่งทางอ้อมต่อกำลังซื้อในประเทศ บวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง อย่าง CPN และกลุ่มร้านอาหารที่อยู่ในศูนย์การค้าเช่น CENTEL, MINT และ M
สรุป การเมืองมีสัญญาณที่ดีของ โดย รัฐบาลใหม่น่าจะเริ่มทำงานได้ในเดือน ก.ย.66 หลังจากนั้นคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยวจีน อินเดีย และDIGITAL WALLET ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงจากแหล่งที่มาของเม็ดเงินทั้ง 2 รูปแบบข้างต้น ขณะที่ในระยะสั้น คาดสร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อ SET INDEX ให้ทะลุแนวต้านสำคัญ และกลับทิศทางเป็นขาขึ้นได
ลุ้น ดัชนีหุ้นไทยแตะ 1,595 จุด
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงจาก 1.12 แสนล้านบาท เหลือ 1.09 แสนล้านบาท คิดเป็น EPSปี 66F จาก 91.8 บาท/หุ้น เหลือ 88.6 บาท/หุ้น ประเมินเป้าหมาย SET INDEX ปี 2566โดยอิง MEYG ที่ระดับ 3.5% จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1541จุด แต่หากอิง MEYG 3.3% (มูลค่าซื้อขายกลับมาสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท/วัน) จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1595 จุด
ในส่วนของ Fund Flow มีโอกาสกลับมาไหลเข้าในช่วงที่เหลือของปีหลังตลาดหุ้นไทยผ่านการปรับฐานลงมาพอสมควร และผ่านช่วงสุญญากาศทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2H66 ขณะที่กลุ่มหุ้นที่มีโอกาส Outperform ได้ คือ กลุ่มหุ้นที่มีกำไรเติบโตเด่นในช่วง H2/66 คือ PETRO, MEDIA, STEEL, FOOD, INSUR, TRANS, PKGPROP, และ COMM เป็นต้น
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ย. เลือกหุ้นที่ได้ SENTIMENT บวกในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และแนวโน้มกำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่าง JMART ราคาเป้าหมาย 24 บาท , BJC ราคาเป้าหมาย 42 บาท , CK ราคาเป้าหมาย 27 บาท , BEM ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท , BBL ราคาเป้าหมาย 191 บาท , AMATA ราคาเป้าหมาย 27 บาท , TOP ราคาเป้าหมาย 60 บาท