IAA หั่นเป้า SET สิ้นปี 66 เหลือ 1,606 จุด พร้อมเปิดโผ 5 หุ้นเด่น

02 ต.ค. 2566 | 10:12 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2566 | 10:12 น.

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน “IAA” เผยผลสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์ มองเป้า SET Index สิ้นปี 66 ค่าเฉลี่ยที่ 1,606 จุด พร้อมให้โผ 5 หุ้นเด่น ปัจจัยดี

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ "IAA" เปิดเผยผลสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2566 

คาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ต.ค. ถึง ธ.ค. 66 เฉลี่ยที่ระดับ 1,619 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,468 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปี 66 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,606 จุด ลดลงจากระดับคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,630 จุด

สำหรับในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีกพาณิชย์ การแพทย์ และการท่องเที่ยว แต่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ Finance (non-bank) ปิโตรเคมี 

จากสมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ ที่ปรับขึ้นจากจาก 80.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 83.02 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทยปี 66 จากเดิมที่ 3.38% (ก.ค.66) ลดลงมาเหลือ 2.85% GDP ส่วนปี 67 มองเป็นบวกที่ 3.56%

ด้านความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำให้ลงทุนใน กองทุนเทคโนโลยี กองทุนรวมกลุ่มประเทศอาเซียน จากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง

หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ประกอบด้วย (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

  • ADVANC โดยมองว่าแนวโน้มกำไรกลับมาเติบโตดีหลังการแข่งขันลดและได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว
  • AOT มองว่าได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดประเทศ และจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ดังนั้น คาดว่าจะมีผลประกอบการกำไรแบบเต็มปีในปี 2567
  • BDMS ได้ประโยชน์จากการเดินทางข้ามประเทศฟื้นตัวและการขยายตัวของคนไข้ทั้งในและต่างประเทศจากกลุ่มลูกค้าประกัน ประกันสังคม และต่างชาติ
  • CPALL คาดกำไรฟื้นตัวในไตรมาส 4/66 -2567 จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ
  • TOP ปัจจัยสนับสนุนจากกำไรฟื้นตัวตามแนวโน้มค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น มองครึ่งปีหลังของปี 66 จะมีค่าการกลั่นเฉลี่ยยืนเหนือ 8 เหรียญต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัว

ขณะที่หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ 

  • DELTA เนื่องจาก ราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก (ข้อมูลวันที่ตอบแบบสอบถาม 21-27 ก.ย. 66) 
  • กลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและต้นทุนพลังงาน

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

  • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 14.80%
  • กองทุนตราสารหนี้ 21.20%
  • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 25.68%
  • หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 24.12%
  • ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.7%
  • กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 6.5%

ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 67 มีนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กว่า 77.28% ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 2.50% ต่อไป

ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 66 ของตลาดเฉลี่ยที่ 89.04 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 93.21 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 66 อยู่ที่ 6.51% ส่วนปี 67 ขึ้นไปอยู่ที่ 99.47 บาท และคาดว่า EPS Growth ของปี 67 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.03%

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลใหม่ เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 

แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Land Bridge ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ และการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย เพื่อดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในอุตสาหกรรม New S Curve 

ตามมาด้วย เสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ เร่งพัฒนาแรงงานไทย กระตุ้นการจ้างงาน ลดการแจกเงินทั่วไป เพิ่มการแจกเงินเฉพาะกลุ่มรวมถึงช่วยเหลือภาระหนี้ของเกษตรกร ข้าราชการ