หุ้นไทยก.ย. ต่างชาติขายเป็นเดือนที่แปด 2.24 หมื่นล้าน

05 ต.ค. 2566 | 22:05 น.

ตลท.สรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยก.ย.ปรับฐานใหญ่ "บอนด์ยีลด์พุ่ง -ดอลล์แข็งค่า"กดดันสินทรัพย์เสี่ยง ดัชนี SET ปิดร่วง 6% วอลุ่มเทรดเหลือวันละ 4.95 หมื่นล้านบาท จับตาไตรมาส 4/66 "นโยบายรัฐ"ตอบสนองต่อนักลงทุนหรือไม่

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายน 2566 ว่า ผู้ลงทุนมีความสนใจในหุ้นลดลงหลังจากมีการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี สาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ เนื่องจากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ถือเป็นการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวนานกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ขณะที่ราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงจำกัดปริมาณการผลิต

 

หุ้นไทยก.ย. ต่างชาติขายเป็นเดือนที่แปด 2.24 หมื่นล้าน

 

โดยตลาดหุ้นไทยปรับลง สอดคล้องกับทิศทางตลาดในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามด้วยอานิสงส์ของเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกของประเทศไทยกลับมาเป็นบวกครั้งแรก นอกจากนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกกับเศรษฐกิจไทยในปี 66 และ 67 นำโดยการบริโภคภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการฟื้นตัวของการส่งออก แต่แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
 

ทั้งนี้ความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน ทำให้เห็นสัญญาณเงินทุนไหลออกจากหลายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียในเดือนก.ย.66 ทำให้เงินสกุลต่างๆ ปรับตัวอ่อนค่า โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ปรับลดลงมาก อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างชาติยังรอจังหวะการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางค่าเงินบาท รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย          

อย่างไรก็ตามแนวโน้มในไตรมาส 4/66 ต้องติดตามข้อมูล ความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายหรือข่าวที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระกับโลกอย่างใกล้ชิด หลังจากตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในมาตลอด ทั้งนี้ปัจจัยภายในประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งด้านนโยบายของรัฐบาลต่าง ๆ แต่ต้องติดตามต่อว่านโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาจะมีทิศทางอย่างไร และตอบสนองต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างครบถ้วนหรือไม่

"ในเดือนก.ย.66 ผู้ลงทุนมีความสนใจในหุ้นลดลงหลังจากมีการปรับฐานครั้งใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี สาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ เนื่องจากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ถือเป็นการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวนานกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ขณะที่ราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงจำกัดปริมาณการผลิต" นายศรพล  กล่าว

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,471.43 จุด ปรับลดลง 6.0% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และปรับลดลง 11.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
  • ในเดือนกันยายนปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ 
  • ในเดือนกันยายน 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 49,462 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 34.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 9 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 56,218 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนที่แปด โดยในเดือนกันยายน 2566 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 22,436 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17
  • ในเดือนกันยายน 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ (SAV) บมจ. ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) และ บมจ. ไทย โคโคนัท (COCOCO) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (GFC)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ระดับ 16.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 22.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ระดับ 3.15% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.39%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ในเดือนกันยายน 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 583,283 สัญญา เพิ่มขึ้น 10.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 548,766 สัญญา ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures