ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,839.08 จุด เพิ่มขึ้น 564.50 จุด หรือ +1.70%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,317.78 จุด เพิ่มขึ้น 79.92 จุด หรือ +1.89% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,294.19 จุด เพิ่มขึ้น 232.72 จุด หรือ +1.78%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีพุ่งขึ้นกว่า 1% ขานรับมุมมองบวกที่ว่า เฟดได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หลังจากคณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธ (1 พ.ย.) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี และเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้งนับตั้งแต่ที่เริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. 2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันพุธว่า เฟดอาจยุติวงจรการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบ 40 ปี โดยนายพาวเวลรับรู้ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และตระหนักว่าภาวะการเงินที่มีความตึงตัวมากขึ้นนั้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
นักลงทุนมองว่าถ้อยแถลงของนายพาวเวลและการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุม 2 ครั้ง ถือเป็นการส่งสัญญาณสิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงหลุดจากระดับ 4.7% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ตลาดยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลล่าสุดของ LSEG ระบุว่า มีบริษัทจดทะบียนสูงถึง 80.9% ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และมีเพียง 14.9% ที่รายงานผลประกอบการต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 3% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้น 1.3%
หุ้นสตาร์บัคส์ พุ่งขึ้น 9.5% และหุ้นควอลคอมม์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.8% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด
หุ้นเพย์พาล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.6% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2566
อย่างไรก็ดี หุ้นโมเดอร์นา ร่วงลง 6.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนสุทธิ 3.63 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3/2566 เทียบกับที่มีกำไรสุทธิ 1.04 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3/2565 โดยได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ที่ตกต่ำ นอกจากนี้ โมเดอร์นาต้องทำการตัดมูลค่าทางบัญชีของสต็อกวัคซีนโควิด-19 คิดเป็นวงเงิน 1.3 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากวัคซีนหมดอายุโดยไม่มีการจำหน่าย
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 5,000 ราย สู่ระดับ 217,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 210,000 ราย
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันนี้ เวลาประมาณ 19.30 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 188,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 336,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. นอกจากนี้ คาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.8% ในเดือนต.ค.
ราคาน้ำมัน WTI พุ่ง 2.5% ปิดที่ 82.46 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (2 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสจะลุกลามและส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางหรือไม่
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.02 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 82.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 86.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทองคำนิวยอร์กบวก 6 ดอลล์ ปิด 1,993.50 ดอลลาร์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (2 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง หลังจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของสหรัฐในวันนี้
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 6 ดอลลาร์ หรือ 0.30% ปิดที่ 1,993.50 ดอลลาร์/ออนซ์