วันนี้ (13 พ.ย.66 ) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงคลัง ได้มอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือ ในประเด็น "สภาวะตลาดหุ้น" โดยมี 3 หน่วยงานหลักได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงการคลัง
ทั้งนี้เนื่องจากตลาดหุ้นไทย อยู่ในภาวะทรุดตัวต่อเนื่อง แม้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลท.จะออกมาชี้แจ้งถึง 2 ครั้ง โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ปรับลงแรงมากสุดในตลาดโลกถึง -15% และข้อมูลสถิติจากตลาดหลักทรัพย์ พบว่าก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาล ดัชนีก่อนจัดตั้งรัฐบาล ปิดที่ระดับ 1,565.94 จุด ( ณ สิ้น ส.ค.66) ก่อนจะปรับลงมาอยู่ระดับ 1,381.83 จุด (ณ สิ้น ต.ค.66 )
โดยดัชนีหุ้นไทยปรับต่ำสุดเมื่อวันที่ 26 ต.ค.66 ปิดที่ 1,371.22 จุด ลดลง 30.48 จุด ใน 1 วัน ทำนิวโลว์ในรอบ 3 ปี และในรอบ 2 เดือน 10 วัน ที่รัฐบาลเข้ามาบริหาร ( 1 ก.ย.66 ) ถึง ณ 10 พ.ย.66 (ดัชนีปิด 1,389.57 จุด ) ปรับลดลงกว่า 170 จุด มูลค่ามาร์เก็ตแคปตลาด ในช่วง 2 เดือนวูบกว่า 1.13 ล้านล้านบาท โดยมูลค่าตลาด SET ปัจจุบันอยู่ที่ 17.08 ล้านล้านบาท
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองว่าปัจจัยลบภายนอกต่อตลาดหุ้น กรณีสงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์ คาดใช้เวลาเป็นเดือน เพราะมีประเทศอื่นทยอยเข้ามาร่วมด้วย แต่มีหลายปัจจัยเริ่มดีขึ้นอาทิ ดอกเบี้ยเฟด ที่คาดว่าใกล้เข้าสู่จุดสิ้นสุดแล้ว ส่วนดอกเบี้ยไทย ผู้ว่าธปท.ก็ส่งสัญญาณว่าเข้าสู่จุดที่เหมาะสมแล้ว ขณะที่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภาคการส่งออกทรงตัว และกลับมาเป็นบวกได้ ภาคการท่องเที่ยวกลับมาตามที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้เรามีเงินสำรองที่ยังดี
" ภาวะตลาดขณะนี้ ตนมองเป็นจังหวะเข้าสะสมในหุ้นพื้นฐานดี อย่าง หุ้นแบงก์ผลประกอบการยังแกร่ง จ่ายงินปันผลสม่ำเสมอ และหุ้นท่องเที่ยวรับการฟื้นตัวในช่วงไฮซีซั่น-ฟรีวีซ่า อีกทั้งหุ้นต่างประเทศก็มีความน่าสนใจ " นายกอบศักดิ์ กล่าว
ส่วนด้านฟันด์โฟลว์ เขามองว่าปัจจุบันสหรัฐ ยังคงดำเนินการดูดสภาพคล่องกลับอย่างต่อเนื่อง ก็หวังว่าเมื่อปัญหาจบลง โฟลว์จะไหลกลับมาได้ในที่สุด รวมถึงหากเศรษฐกิจไทยโตจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่ม
ชี้ปัจจัยหุ้นลงแรง "ยังไม่เชื่อมั่น-ขาดเงินระยะยาวหนุน"
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่าการที่หุ้นไทย จะดีหรือไม่ก็อยู่ที่เศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยมองเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะเริ่มดีขึ้นกว่าปีนี้ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว การส่งออกน่าจะรักษาโมเมนตัม งบประมาณจากรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาตรการใหม่ๆ ที่ออกมาเพิ่มขึ้น ส่วนประเด็นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ไม่น่าจะมีปัญหาเหมือนปีนี้
"ผมมองว่าภาพใหญ่เอื้อเศรษฐกิจดีกว่าปีนี้ ส่วนอัตรากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) EPS ปี 2567 จากการคาดการณ์ของ consensus คาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
ส่วนทิศทางฟันด์โฟลว์ มองว่าจะไหลเข้าหรือไม่ ขึ้นกับ Turning point มุมมองเรื่องอัตราดอกเบี้ยเฟด ซึ่งหากเห็นพ้องว่าทิศทางดอกเบี้ยเฟดลง แน่นอนว่า โฟลว์จะไหลออกตลาดการเงิน ( Money market) ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้อัตราผลตอบแทน 5 % ไหลมายังตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยแรงกระเพื่อมน่าจะเห็นในต้นปี 2567
"ประเด็นที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนลงแรงมากสุดในโลก ต้นปี 66 ลดลง 15% เพราะเราขาดเงินทุนระยะยาวมาคอยสนับสนุนเหมือนในอดีต เช่นกองทุน LTF ประกอบกับนักลงทุนยังไม่มั่นใจนโยบายรัฐบาลในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่ชัดเจนพอที่จะสร้างความมั่นใจได้ แต่เราเริ่มเห็นการปรับตัว-การปรับเปลี่ยนนโยบายที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นมูทเม้นท์ที่ดี ส่ญญาณดอกเบี้ยเฟด คาดจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในกลางปีหน้า กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น"
"ภากร" แนะลงทุนในหุ้นกลุ่ม ดัชนี SETHD -SETESG
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าตลาดทุนปีนี้มีความท้าทายเยอะมาก สิ่งที่เป็นบวกปี65 performance ดีมากเกือบจะที่สุดในเอเซีย แต่ปีนี้ตลาดเจอผลกระทบแรง และลงมากสุด แต่เทียบผลตอบแทนปีนี้เราลงมาใกล้เคียงกับตลาด EM (Emerging Market) อย่างไรก็ดีหากวิเคราะห์นี้ ปีนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ลงทั้งตลาด มีอุตสาหกรรมที่ดีกว่าตลาด นั้นคือกลุ่มเทคโนโลยี่ กลุ่มแบงก์ มีการฟื้นตัวที่ดีมาก อุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัว คือเกษตร ผลิต การบริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัว
ผู้จัดการตลท.แนะลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสการฟื้นและให้ผลตอบแทนดีกว่า SET Index อาทิหุ้นในกลุ่ม ดัชนี SETHD ดัชนีผลตอบแทนอยู่ที่ 113.60 ดีกว่าหุ้นที่เป็น SET INDEX ผลตอบแทนที่ 98.22 และอีกกลุ่มคือ SETESG ให้ผลตอบแทน 102.84 ให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดเช่นกัน
"10 เดือนกว่าปีนี้ต่างชาติขายหุ้นไทยแล้วกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.82 แสนล้านบาท ) อย่างไรก็ดีย้อนไปเมื่อพ.ย.65 สัดส่วนต่างชาติถิอหุ้นไทย 29.05% คิดเป็นมูลค่า 5.75 ล้านล้านบาท แต่วันนี้สัดส่วนอยู่ที่ 29.22% มาร์เก็ตแคป 4.94 ล้านล้านบาท จากการที่ดัชนี SET ปรับตัวลดลง แต่เทียบแล้วมูลค่ามาร์เก็ตแคปของต่างชาติ ไม่ได้แตกต่างมาก กลุ่มที่หายไปคือกลุ่มนักลงทุนระยะสั้น " นายภากร กล่าว