นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ WEALTH ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นอีกปีที่มีความท้าทายท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะลุกลามหรือยืดเยื้อนานเท่าใด แต่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง SCB WEATH ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า Wealth และลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเป็น Wealth อยู่มากกว่า 1 ล้านคน
ด้วยความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด ได้มีการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย เช่น ผลิตภัณฑ์การลงทุนในสกุลเงินดอลล่าร์ ในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้นหรือกองทุนกลุ่มตราสารตลาดเงิน (Money Market) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ Capped Floored Floater Note หรือ Callable Note เป็นต้น สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ไม่ผันผวนจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในภาวะดอกเบี้ยสูง เช่น กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้สินทรัพย์การลงทุนภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของกลุ่มลูกค้า SCB WEALTH เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 4%
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน และสินเชื่อเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง (Wealth Lending ประเภท Property Backed Loan และ Lombard Loan) ที่มียอดสินเชื่อเติบโตขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน Regular Unit-linked ยังครองอันดับ 1 ในตลาดประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในปีนี้ และธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจ Wealth ในปี 66 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในปีนี้ SCB WEALTH ยังคว้ารางวัลได้สูงถึง 11 รางวัลระดับโลก เป็นรางวัลที่โดดเด่นในการเป็น Digital Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ มีการนำData มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน และดูแลพอร์ตลูกค้าที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เฉพาะลูกค้าแต่ละราย ซึ่งสามารถการันตีความเป็น "Digital Wealth with Human Touch" ได้อย่างแท้จริง
SCB Wealth มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และธนาคารวางเป้าหมายในการเป็น "ดิจิทัลแบงก์อันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง" จะเป็น Thought partners ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าและจะอยู่กับลูกค้าทุกช่วงจังหวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด
ตั้งเป้าหมาย 3 ปี ขึ้นแท่นเบอร์ 1
นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า ใน 3 ปีข้างหน้าไว้ดังนี้ คือ
นายอิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล กรรมการและหุ้นส่วนอาวุโส บริษัท บอสตันคอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) กล่าวว่า จากการศึกษาของ BCG พบว่าตลาด Wealth Management ของประเทศไทยทั้ง onshore และ offshore จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 4.5% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เราพบว่ามี 4 เทรนด์หลักในธุรกิจ Wealth Management ที่พบในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย ได้แก่
ทั้งนี้ BCG ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง มีการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกและทำการวิจัยกับผู้บริโภคในหลายประเทศ ซึ่งพบว่า เทคโนโลยีจะมีบทบาท มากขึ้นในการบริหารความมั่งคั่ง ทั้งนี้ เครื่องจักรหรือสมองกลจะไม่ได้มาแทนที่คนทั้งหมด ลูกค้า High Net Worth ต้องการการผสมผสานกันระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการได้รับความดูแลจากคนอย่างเช่น relationship manager (RM) ซึ่งเทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยใน 5 เรื่องใหญ่ดังต่อไปนี้
ด้านนายสาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ของ SCB ให้มุมมองเทรนด์กฎหมายใน 67 ว่ายังคงต้องติดตามกฎหมายต่างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น การเก็บภาษีการรับมรดกที่อาจมีการปรับปรุงกฎหมายและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ส่วนกฎหมายภาษีการลงทุนต่างประเทศ ตามที่กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เมื่อเดือนกันยายน 2566 และ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 ซึ่งมีผลให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 180 วันขึ้นไป หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เช่น เงินปันผล กำไรจากการขายหุ้น ดอกเบี้ย และได้นำเงินเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่าจะนำเข้ามาในปีใดก็ตาม จะต้องนำมารวมเสียภาษีในประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า โดยหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะใช้สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศ
ทั้งนี้ Wealth Planning and Family office จึงขอแนะนำนักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ อาจจะพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ไปซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศหรือกองทุนไทยที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ข้อดีคือผู้ลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากได้กำไรจากการลงทุน แต่หากมีปันผลจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10
ในปีนี้ลูกค้ากลุ่ม HNW ให้ความสนใจเรื่องการสร้างความมั่งคั่งผ่าน Family Holding Company เพราะช่วยในการเก็บรวบรวมทรัพย์สินของครอบครัวเพื่อการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนรวมทั้งยังช่วยแก้หรือลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจโดยสมาชิกครอบครัว การจัดโครงสร้าง Family Holding Company ที่ดีก็เหมือนการวางรากฐานของบ้านให้แข็งแกร่ง หากในอนาคตธุรกิจครอบครัวเจริญเติบโตขึ้น และวางอยู่บนฐานของโครงสร้างที่ดีก็จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความแข็งแกร่ง