กรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตรวจสอบเส้นทางการเงินคดีทุจริตใน บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK มูลค่าความเสียหาย 14,778 ล้านบาท หลังพบความผิดปกติของเส้นทางการเงินของบริษัทกว่า 10,000 ล้านบาท จนนำไปสู่การมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดี STARK จำนวน 11 ราย ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชน รวมถึงความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อพนักงานอัยการ
ที่ผ่านมา ฐานเศรษฐกิจ ได้ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก พบข้อมูลกลุ่มผู้ต้องหาได้ยักย้ายถ่ายเทเงินของ STARK ที่ได้จากการขายหุ้นกู้ 3 รอบ และขายหุ้นเพิ่มทุน 1 รอบวงเงินรวม 16,215.4 ล้านบาท
โดยหนึ่งในเส้นทางการเงิน STARK ที่ได้จากการขายหุ้นกู้ 3 รอบ และขายหุ้นเพิ่มทุน 1 รอบวงเงินรวม 16,215.4 ล้านบาที่น่าสนใจนั่นคือ เงินจากการขายหุ้นกู้ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 จำนวน 3,931.3 ล้านบาท ซึ่งมีการโอนเงินเข้าบัญชีผู้หญิงปริศนาวงเงินกว่า 76.63 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบลงลึกไปในรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนเงินเข้าบัญชีผู้หญิงปริศนาวงเงิน 76.63 ล้านบาทนั้น แหล่งข่าวระบุกับฐานเศษฐกิจว่า ผู้หญิงปริศนารายดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกับอดีตผู้บริหารระดับสูงของ STARK โดยผู้หญิงปริศนารายดังกล่าว ได้โพสต์ภาพลงในอินสตาแกรมส่วนตัว คู่กับรถหรูป้ายแดง เป็นรถสปอร์ตคูเป้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 รุ่น 430i M Sport
ทั้งนี้จากการตรวจสอบรายละเอียดของ รถสปอร์ตคูเป้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 รุ่น 430i M Sport ดังกล่าว พบว่ามีราคาสูงถึง 4.219 ล้านบาท แต่ภายหลังจากโพสต์ได้ไม่นาน ผู้หญิงปริศนารายนี้ก็ได้ลบโพสต์ดังกล่าวออกจากอินสตาแกรมแล้ว
สำหรับคดีทุจริตใน บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK นั้น ที่ผ่านมา ดีเอสไอ ได้รับเป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 โดยมีผู้เสียหายทั้งสิ้นจำนวน 4,704 ราย มูลค่าความเสียหายจำนวน 14,778 ล้านบาท (คดีพิเศษที่ 57/2566) ล่าสุดการสอบสวนเสร็จสิ้น และได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแล้ว
โดยทางคดีมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 11 คน ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา และ ฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีเอกสารพยานหลักฐานทั้งสิ้นจำนวน 22 ลัง 140 แฟ้ม 52,968 แผ่น
นอกจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังพบว่า มีการนำเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท โอนเข้ากลุ่มบริษัทของผู้ต้องหาเพื่อไปชำระหนี้เจ้าหนี้การค้า รวมทั้งยักย้ายถ่ายเทเข้าบัญชีส่วนตัวอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งได้ส่งข้อมูลให้ สำนักงาน ปปง. พิจารณาดำเนินการติดตามยึดทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 49 วรรคท้ายด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 11 ราย ได้แก่ 1.นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ 2.นายชินวัฒน์ อัศวโภคี 3.นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ 4.นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม 5.บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น 6.บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด 7.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด 8.บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 9.บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 10.นางสาวยสบวร อำมฤต และ 11.นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (อยู่ระหว่างหลบหนี)