ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ( ASPS ) ประเมินว่า กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2566 มี EPS อยู่ที่ 88.6 บาทต่อหุ้น ซึ่งกำไรกลับขึ้นมาใกล้เคียงกับปี 2562 (ช่วงก่อนเกิด COVID-19) ที่ 88.1 บาทต่อหุ้น และปี 2567 คาด EPS อยู่ที่ 99.8 บาทต่อหุ้น เติบโตต่อเนื่องราว 12.64%
ทั้งนี้โดยปกติแล้ว กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2564–2565 ที่เพิ่มขึ้นจาก 0.99 ล้านล้านบาท สู่ระดับ 1.02 ล้านล้านบาท นั้นหมายถึง บริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทสร้างกำไรได้มากขึ้น หรือ มีบริษัทจดทะเบียนใหม่ๆเข้ามาเป็นตัวเลือกให้นักลงทุน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และ SET Index ก็ตอบสนองในเชิงบวก
ขณะที่ปีนี้กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.05 ล้านล้านบาท แต่ SET Index กลับปรับตัวลงแรง 15.15% Ytd อยู่ที่ระดับ 1,415.85 จุด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยในเชิงพื้นฐาน และหากพิจารณาในเชิง Valuation ยิ่งทำให้ SET Index ระดับปัจจุบันน่าสนใจยิ่งขึ้นกว่าอดีต
ส่วนปี 2567 ฝ่ายวิจัยคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 1.18 ล้านล้านบาท ยิ่งเป็นจุดแน่ชัดว่า SET Index ไม่ควรอยู่ระดับนี้และควรปรับตัวขึ้นตามกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้น
โดยในปี 2567 แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดูเด่นมากขึ้น พร้อมกับมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแพกเกจใหญ่จากทางภาครัฐเข้ามาสนับสนุน หนุนให้ฝ่ายวิจัยประเมิน ESP67F ที่ 99.8 บาทต่อหุ้น เติบโตถึงราว 12% YOY ซึ่งมีกลุ่มที่ OUTPERFORM ตลาดเด่น คือ PETRO, AGRI, TOURISM, FOOD, TRANS, CONS, COMM เป็นต้น
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มที่เติบโตเด่น และให้ความสำคัญ กับ ESG ที่มี Rating A-AAA คือ CK, GULF, CRC, BEM, CPALL, MINT, KBANK, HMPRO, BBL ,CPN ,INTUCH, AP, ADVANC ,TISCO