เช็ค NIM กลุ่มแบงก์สูงสุด BAY SCB KBANK ติดโผ

23 ม.ค. 2567 | 08:42 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ม.ค. 2567 | 09:36 น.

เจาะงบกลุ่มแบงก์ BAY-SCB-KBANK โชว์ฟอร์มเด่น NIM ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ 3 อันดับแรกที่ตั้งสำรองด้อยค่าลดลง KBANK-TISCO-LHFG สำหรับกลุ่มที่ NPL สูง 3 อันดับแรก LHFG-TISCO-BAY

หลังจากที่กลุ่มแบงก์ทยอยประกาศงบผลประกอบการออกมากันหมดแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหลายแห่งกำไรสุทธิมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ต้องยอมรัยว่าปัจจัยหนุนสำคัญเกิดจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในรอบเดือนพฤศจิกายน 2566 โดย กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านอุปทานจากปรากฏการณ์เอลนีโญ

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ให้กลับเข้าสู่อัตราปกติที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ไทยเริ่มทยอยปรับขึ้นตามต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น และจากการรวบรวมข้อมูลแบงก์ทั้ง 10 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกันอยู่ที่ระดับ 232,016.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.09% จากปีก่อนที่ระดับ 186,964.15 ล้านบาท

หากลงรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจข้อมูลของหุ้นกลุ่มแบงก์ทั้ง 10 แห่ง พบว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) สูงสุด 6 อันดับแรก ได้แก่

  • BAY 3.91% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.45%

  • SCB 3.73% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.29%

  • KBANK 3.66% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.33%

  • TTB 3.24% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.95%

  • BBL 3.02% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.42%

  • LHFG 2.53% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.41%

ขณะเดียวกัน 3 หุ้นแบงก์ที่ NIM ปรับตัวลดลงจากปีก่อน ได้แก่

  • CIMBT 2.6% ลดลงจากก่อนที่ 2.7% 

  • TISCO 5.04% ลดงจากปีก่อนที่ 5.09%

  • KKP 5.2% ลดลงจากปีก่อนที่ 5.4%

  • ส่วน KTB 3.22% ทรงตัวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน

ขณะที่การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ) ของกลุ่มหุ้นทั้ง 10 แบงก์ ในปี 2566 เทียบปี 2565 พบว่า มี 3 แบงก์ที่การตั้งสำรองปรับตัวลดลงจากการเข้มงวดในการบริหารจัดการพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

  • KBANK 51,840 ล้านบาท ลดลง 0.15% จากปีก่อนที่ 51,919 ล้านบาท

  • TISCO 613.47 ล้านบาท ลดลง 15.11% จากปีก่อนที่ 722.68 ล้านบาท

  • LHFG 2,130.20 ล้านบาท ลดลง 16.48% จากปีก่อนที่ 2,550.5 ล้านบาท

ส่วนที่เหลือปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของพอร์ต ได้แก่

  • BBL 33,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.12% จากปีก่อนที่ 32,647 ล้านบาท

  • KKP 6,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8 % จากปีก่อนที่ 5,036 ล้านบาท

  • TTB 22,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.0% จากปีก่อนที่ 18,353 ล้านบาท

  • SCB 43,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9% จากปีก่อนที่ 33,829 ล้านบาท

  • BAY 35,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.64% จากปีก่อนที่ 26,652 ล้านบาท

  • CIMBT 3,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.52% จากปีก่อน

  • KTB 37,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.4% จากปีก่อนที่ 24,338 ล้านบาท

ในด้านสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือ NPL ในปี 2566 ของกลุ่มหุ้นแบงก์ เทียบปี 2565 แล้วพบว่า

  • BBL 85,955 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากปีก่อนที่ 97,188 ล้านบาท

  • TTB 41,006 ล้านบาท ลดลง 1.68% จากปีก่อนที่ 41,707 ล้านบาท

  • KTB 99,439 ล้านบาท ลดลง 1.63% จากปีก่อนที่ 101,096 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน มี แบงก์ 6 แห่ง ที่สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่

  • LHFG 6,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.02% จากปีก่อนที่ 5,248.2 ล้านบาท

  • TISCO 5,222.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.12% จากปีก่อน

  • BAY 61,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.12% จากปีก่อนที่ 53,875 ล้านบาท

  • CIMBT 8,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.68% จากปีก่อน

  • KBANK 94,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.84% จากปีก่อนที่ 92,536 ล้านบาท

  • SCB 96,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% จากปีก่อนที่ 95,329 ล้านบาท

สำหรับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นั้น ในปี 2566 หลายแบงก์ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลในในปี 2566 มี NPL ประกอบด้วย

  • SCB 3.4% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.3%

  • CIMBT 3.3% ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน

  • KKP 3.2% ลดลงจากปีก่อนที่ 3.3%

  • KBANK 3.19% ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน

  • KTB 3.08% ลดลงจากปีก่อน 3.26%

  • BBL 2.7% ลดลง 0.4% จากปีก่อนที่ 3.1%

  • TTB 2.62%

  • BAY 2.53% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.32%

  • TISCO 2.22% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.09%

  • LHFG 2.36% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.09%