"ณุศาศิริ" เปิดแผนใช้คืนหนี้ระยะสั้น 2,352 ล้าน ชี้แจงยิบเงินไม่ช็อต

16 มี.ค. 2567 | 04:42 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มี.ค. 2567 | 09:11 น.

"วิษณุ เทพเจริญ"กางแผน NUSA ชำระหนี้หุ้นกู้และหนี้ครบกำหนดใน 1 ปี 2,352 ล้านบาท แจงเคลียร์หมด 145.5 ล้าน หุ้นกู้ที่ครบและดอกเบี้ย Q1/67 แล้ว ส่วนที่จะครบใน 4-9 เดือนข้างหน้า เตรียมแผน Rollover ขายสินค้าจากแบ็คล็อก 1,555 ล้านบาท อสังหารอการขาย 3,550 ล้าน

KEY

POINTS

  • วิษณุ เทพเจริญ รักษาการซีอีโอ บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) แจงแผนการชำระหนี้หุ้นกู้และหนี้สินของ NUSA ซึ่งมีหนี้ครบกำหนด 1 ปี วงเงิน 2,352 ล้านบาท 
  • หลัง ตลท.สั่งให้บริษัทฯ ชี้แจงภายในวันที่ 15 มี .ค.2567 เหตุงบการเงิน 66 ระบุบริษัทฯมีเงินสดเหลือเพียง 39 ล้านบาท
  • แจงเคลียร์หนี้หุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ย วงเงินรวม 145.5 ล้านบาท ที่ครบกำหนด Q1/67 แล้ว
  • หนี้ระยะสั้นที่เหลืออีก 2,206 ล้านบาท  แหล่งเงินมาจาก แบ็คล็อก -อสังหารอการขายรวม 5,105 ล้านบาท รวมทั้งการ Rollover    

หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้ บริษัทณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA ชี้แจงข้อเท็จจริงที่อาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชําระดอกเบี้ยหุ้นกู้และหนี้ต่าง ๆ ของบริษัท และการดําเนินธุรกิจของบริษัท กรณีปรากฏข้อมูลในงบการเงินประจําปี 2566 ว่าบริษัทมีเงินสด 39 ล้านบาท และมีหุ้นกู้และหนี้สินที่ครบกําหนดต้องชําระใน 1 ปีรวม 2,352 ล้านบาท แยกเป็นหุ้นกู้ 1,185 ล้านบาท และหนี้สินอื่นอีก 1,167 ล้านบาทนั้น

\"ณุศาศิริ\" เปิดแผนใช้คืนหนี้ระยะสั้น 2,352 ล้าน ชี้แจงยิบเงินไม่ช็อต
 

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 นายวิษณุ เทพเจริญ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NUSA  ได้ทำหนังสือชี้แจงตลท. ระบุว่า บริษัทฯ มีภาระการชําระคืนหุ้นกู้ที่ครบกําหนดในไตรมาสแรกนี้ได้แก่ NUSA242A ซึ่งครบกําหนดแล้ว เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 จํานวน 132.0 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้ชําระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเสร็จสิ้นแล้ว และตลอดช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีภาระดอกเบี้ยหุ้นกู้ครบกำหนดจำนวน 13.5 ล้านบาท บริษัทฯได้ชําระเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่จะครบกําหนด ในเดือนมีนาคมนี้ได้แก่ NUSA253B, NUSA250B และ WMA256A  บริษัทฯได้เตรียมเงินสําหรับดอกเบี้ยหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น และนําส่งให้แก่นายทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนเงินต้นหุ้นกู้ที่จะครบกําหนดใน 4-9 เดือนข้างหน้านี้ บริษัทฯได้เตรียมแผนสํารองในกรณีที่หากไม่สามารถ Rollover หุ้นกู้ได้ โดยจะอธิบายในลําดับต่อไป

1.ด้านภาระหนี้ที่จะครบกําหนดชําระภายใน 1 ปีจํานวน 1,167 ล้านบาท นั้น มีรายละเอียดดังนี้

\"ณุศาศิริ\" เปิดแผนใช้คืนหนี้ระยะสั้น 2,352 ล้าน ชี้แจงยิบเงินไม่ช็อต

2. เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่ถึงกําหนดชําระภายในหนึ่งปีจํานวน 249 ล้านบาท ประกอบไปด้วยการกู้เงินจากสถานบันการเงินสามแห่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

\"ณุศาศิริ\" เปิดแผนใช้คืนหนี้ระยะสั้น 2,352 ล้าน ชี้แจงยิบเงินไม่ช็อต

3. เงินกู้ยืมจากกิจการอื่น และ เงินกู้ยืมจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมจากกิจการอื่น และ เงินกู้ยืมจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน จํานวน 595 ล้านบาท และ 323 ล้านบาท หากบริษัทมีสภาพคล่องเหลือ บริษัทจะชําระคืนเงินกู้เมื่อครบกําหนด

อย่างไรก็ตามหากบริษัทสามารถ Rollover เงินกู้ต่อไปได้บริษัทจะดําเนินการ Rollover เงินกู้ต่อไป เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัท ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารสภาพคล่องของกิจการตลอดปีที่ผ่านมา
 

การดําเนินกิจการภาคอสังหาริมทรัพย์ของกิจการ

ทางด้านผลการดําเนินงานในภาคอสังหาริมทรัพย์นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดําเนินการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

\"ณุศาศิริ\" เปิดแผนใช้คืนหนี้ระยะสั้น 2,352 ล้าน ชี้แจงยิบเงินไม่ช็อต \"ณุศาศิริ\" เปิดแผนใช้คืนหนี้ระยะสั้น 2,352 ล้าน ชี้แจงยิบเงินไม่ช็อต

จะเห็นได้ว่าสินค้าของบริษัทฯ เฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น Back log รวม 1,555 ล้านบาท และอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,550 ล้านบาท รวมกว่า 5,105 ล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่บริษัทมีในระยะสั้นจํานวน 2,352 ล้านบาท และหากเทียบกับ D/E Ratio ณ สิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมี D/E Ratio เพียง 0.58 

บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าจะสามารถบริหารสินค้าและทรัพย์สินที่บริษัทมีอยู่ให้สามารถ Turnover เป็นเงินสด เพื่อมาเสริมสภาพคล่องทางการเงินและสามารถชําระคืนภาระหนี้ที่มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีทรัพย์สินอื่น ๆ ที่อยู่ในรูปของสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดินรอการพัฒนา โรงแรม เมอเวนพิค มายโอโซน เขาใหญ่ และเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้น เป็นต้น อีกกว่า 7,000 ล้านบาท

โดยรวมแล้ว บริษัทมีทรัพย์สินและสินค้าเพื่อการขายรวมมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท เทียบกับภาระหนี้สินของบริษัทที่มีจํานวน 5,000 กว่าล้านบาท บริษัทมั่นใจว่า จะสามารถบริหารสินค้าที่มีอยู่เพื่อสร้างสภาพคล่องทางการเงินและสามารถชําระคืนหนี้ได้ตามกําหนดทุกรายการ