วันนี้ ( 25 มี.ค.67) เป็นวันทำการวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มชั่วโมงการซื้อขายจาก 270 นาทีต่อวัน เป็น 300 นาทีต่อวัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็สร้างความคาดหวังว่าน่าจะทำให้ TURNOVER ของตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้นน เป็นผลดีต่อทิศทางตลาด
ตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าซื้อขายต่อวันเบาบางลงต่อเนื่อง โดยปี 2564 มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 8.8 หมื่นล้านบาท, ปี 2565 มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 7.1 หมื่นล้านบาท, ปี 2566 มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 5.1 หมื่นล้านบาท และต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน (YTD ) เฉลี่ย 4.4 หมื่นล้านบาท
วันนี้จะเป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มชั่วโมงซื้อขายตอนบ่ายเร็วขึ้น 30 นาทีเป็น 13.30 น. (ช่วงเช้าชั่วโมงซื้อขายเวลาเดิม) รวมชั่วโมงซื้อขายใน 1 วันเพิ่มขึ้นจาก 4 ชั่วโมงครึ่ง เป็น 5 ชั่วโมง (เพิ่มขึ้น 11.11%) ซึ่งเข้าใกล้ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่บางประเทศมีชั่วโมงซื้อขาย 6 –7 ชั่วโมง
ประเด็นนี้น่าจะช่วยชดเชยสภาพคล่องที่น้อยลงต่อเนื่องให้ดีขึ้น แต่ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าจะผลักดันให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้ดี อย่างน้อยต้องมีมูลค่าซื้อขายต่อวันสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท (หรือมี TURNOVER > 70% ของมูลค่าซื้อขายต่อปี) ดัชนีจึงจะช่วยหนุนดัชนีให้มีโอกาสขยับตัวขึ้นได้ดี ซึ่งอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยได้ คือ การปรับลดดอกเบี้ยเพราะ ปกติเวลาดอกเบี้ยลดลง 0.25% จะช่วยหนุนให้มูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นได้ราว 3 –4 พันล้านบาทต่อวัน
ฝ่ายวิจัย ฯ ระบุอีกว่า หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานยังไม่เห็นแรงกระตุ้นใหม่ๆ โดยประเด็นที่อยู่ในการติดตามเป็นเรื่องงบประมาณปี 2567 ซึ่งสัปดาห์นี้จะเป็นหน้าที่ของวุฒิสภาในการพิจารณาซึ่งคาดว่าจะสามารถผ่านออกมาได้ และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในช่วงต้นเดือน เม.ย.67 ส่วนมุมเรื่องทิศทางดอกเบี้ย ประเมินจากท่าทีของ ธปท. ก็เห็นว่ายังไม่ชัดเจน กล่าวคือดูเหมือนจะไม่กังวลต่อผลที่จะเกิดขึ้นกับค่าเงินบาท
แต่ในอีกทางหนึ่งก็เห็นว่าภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มเข้ารูปเข้ารอยในเดือน ก.พ.67 ทั้งนี้ค่าเงินบาทช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อ่อนค่ามาสู่ระดับ 36.35 บาท/USD ซึ่งไม่เอื้อต่อการที่ FUND FLOW จะไหลกลับเข้ามาแม้จะมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการขยายระยะเวลาการซื้อขายเพิ่ม 11.11% แต่ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานก็ยังไม่มีประเด็นขับเคลื่อนที่มีน้ำหนัก
กล่าวโดยสรุป การเพิ่มชั่วโมงซื้อขายน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยชดเชยสภาพคล่องได้ในระดับหนึ่ง แต่ในระยะถัดไป ถ้ามีการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องก็จะช่วยหนุนให้มูลค่าซื้อขายสูงขึ้นได้อีก และอาจเพียงพอต่อการพยุงดัชนี รวมถึงช่วยผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้