นางสาวภิญญดา แสงศักดาหาญ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากการขายแบบอนุรักษ์นิยม ไว้ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3-4% จากปีก่อน ที่ทำได้ระดับ 137,212.85 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 17-18% ต่อเนื่องจากปีก่อนที่ทำได้ 17.06%
ปัจจัยหลักๆ เป็นผลมาจากการปรับขนาดธุรกิจลง เช่น ธุรกิจแช่งแข็ง (Frozen) ในสหรัฐฯ ทำให้ขนาดของรายได้จะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขนาดธุรกิจอยู่ในระดับ 900 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 600 - 700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการปรับขนาดธุรกิจลงจะช่วยให้อัตราส่วนกำไรขั้นต้นบริษัทปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมองหการขยายไลน์สินค้าที่จะมุ่งเน้นในส่วนการดูแลสัตว์เลี้ยง และสินค้ามูลค่าสูงให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเข้ามาเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ และสร้างอัตรากำไรที่ดีขึ้น รวมถึงในปี 2567 จะไม่มีการรับรู้ผลขาดทุนของ Red Lobster อีกแล้ว ทำให้เชื่อว่าผลการดำเนินงานจากนี้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว
ด้านการลงทุนใหม่ๆ ในรูปแบบของการร่วมทุน (JV) ในปี 2567 นี้ บริษัทอาจต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีการลงทุนไปมากแล้ว อีกทั้งอยู่ในช่วงระหว่างการปรับขนาดธุรกิจเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหาร ทำให้ไม่มีการลงทุนมูลค่าสูงในปีนี้ แต่บริษัทจะหันไปมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับกลุ่มดูแลสัตว์เลี้ยง และสินค้ามูลค่าสูงต่อเนื่อง ดังนั้น งบลงทุนในปีนี้จึงปรับลดลงมาเหลืออยู่ที่ประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาท จากในช่วง 2-3 ปีก่อนที่เคยใช้เฉลี่ยประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท
ในส่วนของภาพรวมราคาต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1,300-1,350 เหรียญต่อตัน ลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2566 ที่อยู่ระดับประมาณ 1,517 เหรียญต่อตัน ส่งผลให้บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดราคาจำหน่ายลงเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์มีผลกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นอยู่บ้าง แต่คาดว่าในช่วงไตรมาส 2/2567 ราคาปลาทูน่าและราคาจำหน่ายจะปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าจะดีต่อเนื่องไปในไตรมาส 3-4/2567 ทั้งนี้ คาดว่าราคาปลาทูน่าเฉลี่ยทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,700-1,750 เหรียญต่อตัน
ภาพรวมธุรกิจและผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2567 คาดว่ายอดขายมีแนวโน้มปรับตัวลดลงกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566 ที่มีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 35,529 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงปลายปีก่อนลูกค้าได้มีการสั่งซื้อสินค้าเพื่อไปรักษาคงคลังไว้จำนวนมาก ทำให้คาดว่ายอดขายในไตรมาสแรกปีนี้จะหย่อนลง และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 2-3/2567 นี้ อย่างไรก็ดี มองว่าด้วยปัจจัยเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงกว่าที่ระดับบริษัทได้ล็อกราคาเอาไว้ที่ 33.5 บาทต่อดอลลาร์ จะเป็นผลบวกต่อธุรกิจ
ความคืบหน้าของแผนการซื้อหุ้นคืนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลเนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ทำให้บอร์ดบริษํทได้มีการอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนรอบใหม่ ตั้งแต่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องไปจนถึงเดือน มิถุนายน 2567 จำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 3,600 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 22 มีนาคม 2567 บริษัทได้มีการรับซื้อหุ้นคืนมาแล้ว จำนวน 70 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 14.36 บาทต่อหุ้น มูลค่า 1,000 ล้านบาท