ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ที่ระดับ “A-” หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาท อายุไม่เกิน 5 ปีของบริษัทที่ระดับ“BBB+” ด้วยเช่นกัน
สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ชำระคืนหนี้เดิม และนำไปลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ของบริษัท
อันดับเครดิตหุ้นกู้ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดของบริษัทสูงกว่าเกณฑ์ 50% ของทริสเรทติ้ง
อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดรับที่เชื่อถือได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (อันดับเครดิต “AAA/Stable”) และประวัติการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำเป็นหลัก นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงของประเทศ (Country Risk) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ด้วย
ในปี 2566 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จาก 4.2 พันล้านบาทในปี 2565 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เท่ากับ 4.8 เท่าในปี 2566 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีภาระผูกพันในการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง (โครงการหลวงพระบาง) ในอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 5 เท่าหรือเกินกว่านั้นในช่วงปี 2567-2569
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) จำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท โดยจำนวน 1.59 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ที่มีหลักประกันและหนี้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย
ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดของบริษัทเท่ากับ 57% ซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าหนี้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบกว่าเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญในกรณีที่ต้องเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินของบริษัท
ดังนั้น หุ้นกู้ของบริษัทจึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 1 ขั้น ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดของบริษัทจะลดลงเนื่องจากภาระหนี้ของบริษัทย่อยจะทยอยลดลง ด้วยเหตุดังกล่าว ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าความเสี่ยงด้านความด้อยสิทธิในเชิงโครงสร้างจะลดลงในระยะยาว
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานตามเป้าหมายได้เป็นอย่างดีและสร้างกระแสเงินสดได้ตามที่ประมาณการไว้ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่ากระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้สินทางการเงินและระดับภาระหนี้ของบริษัทจะสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงลงทุนในโครงการหลวงพระบาง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งอาจปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้หากบริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดขึ้นได้มากที่สุดจากการเพิ่มทุน
ในทางกลับกันทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้สินทางการเงินของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการที่โรงไฟฟ้าของบริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอลงอย่างมาก หรือเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เงินกู้เป็นหลักหรือมีรายจ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาระผูกพันในส่วนของผู้ถือหุ้นของโครงการหลวงพระบาง