SCC แจงปม"เอสซีจี พลาสติกส์" ถูกสหรัฐสั่งปรับ 736 ล้าน ไม่กระทบธุรกิจ สำรองแล้ว

22 เม.ย. 2567 | 00:24 น.
อัปเดตล่าสุด :22 เม.ย. 2567 | 01:02 น.

เอสซีจี ออกโรงแจง ตั้งสำรองแล้ว ปม "เอสซีจี พลาสติกส์" ถูกรัฐบาลสหรัฐสั่งปรับฐานละเมิดกฏหมายคว่ำบาตรอิหร่านเป็นเงิน 736 ล้านบาท หรือราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ยันไม่กระทบธุรกิจ โบรกคาดกำไร Q1/67 ที่ 2,000-2,300 ล้านบาท คงคำแนะนำ"ถือ"

นายธรรมศกัดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตปท.) ว่า

ตามที่ปรากฏข่าวกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สั่งปรับบริษัทเอสซีจี พลาสติกส์ จำกัด ฐานละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่าน จากการโอนเงินดอลล่าร์สหรัฐชำระค่าสินค้าที่ผลิตในอิหร่าน ช่วงปี พ.ศ.2560 ถึง พ.ศ. 2561 นั้น  บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จ ากัด (มหาชน) (หรือ “SCC”) ขอเรียนให้ทราบดังนี้

1.บริษัทเอสซีจีพลาสติกส์ จำกัด (หรือ “SCG Plastics”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCC (ปัจจุบันอยู่ระหว่างชำระบัญชี) เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ขายเม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีน (PE) ที่ผลิตจากบริษัทที่เอสซีจีร่วมทุนในอิหร่าน ซึ่ง SCG Plastics ได้ขาย PE ที่ผลิตจากบริษัทร่วมทุนนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 โดยได้ใช้หลายสกุลเงินในการค้าขายตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นการประกอบธุรกิจตามปกติของอุตสาหกรรมนี้และช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีมาตรการคว่ำบาตร
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของอิหร่าน
 

2. ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 SCG Plastics ได้หยุดการขาย PE ที่ผลิตในอิหร่านหลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศคว่ำบาตรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของอิหร่าน และกลับมาขายอีกครั้งเมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศผ่อนผันการคว่ำบาตรดังกล่าวในปี พ.ศ. 2557 จากความไม่แน่นอนในสถานการณ์การคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561  SCG Plastics ได้ยุติการขาย PE จากบริษัทร่วมทุนอย่างถาวร หลังจากที่บริษัทในเอสซีจีหยุดดำเนินการกับบริษัทร่วมทุนนั้นและสินทรัพย์ดังกล่าวได้ถูกจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ.2561 ตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา

3.ต่อมาสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (หรือ “OFAC”) เข้าตรวจสอบการขาย PE ของ SCG Plastics ที่ค้าขายช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2560 ถึง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรหรือไม่ ซึ่ง SCG Plastics ได้ให้ความร่วมมือกับทางราชการของสหรัฐฯ เป็นอย่างดี เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจสอบ OFAC เห็นว่ามีการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน แม้การขายสินค้าดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลสัญชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการคว่ำบาตร แต่มีการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการขายสินค้าที่ผลิตจากอิหร่านในช่วงดังกล่าว ทำให้สถาบันการเงินซึ่งเป็นบุคคลสหรัฐมีส่วนร่วมในการชำระเงินด้วย ส่วนการค้าขายด้วยสกุลเงินอื่นไม่ได้ละเมิดมาตรการดังกล่าว
 

4. OFAC เห็นว่า SCG Plastics ได้ให้ความร่วมมือกับ OFAC ในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ รวมถึงได้ออกนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต OFAC จึงได้เสนอให้ SCG Plastics ทำ Settlement Agreement โดยให้ SCG Plastics จ่ายเงินค่าประนอมยอมความให้กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาจำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ OFAC ยุติการพิจารณาข้อหาดังกล่าว 

ทั้งนี้ การจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2567 ของเอสซีจีเนื่องจากได้ตั้งสำรองในงบการเงินสิ้นปี พ.ศ. 2566 เรียบร้อยแล้ว

โบรก ฯ คาดกำไร Q1/67 ที่ 2,000 - 2,300 ล้าน แนะ "ถือ"

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ประเมินผลประกอบการเอสซีจี (SCC) ไตรมาส1/67 คาดว่าจะดีขึ้น QoQ เนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์ในประเทศเมียนมา แต่สภาพแวดล้อมการดำเนินงานโดยรวมยังคงท้าทายเมื่อเทียบรายปี(YoY)  โดยกำไรสุทธิ อาจหดตัวลงได้เนื่องจากไม่มีกำไรจากรายการพิเศษ 1.2 หมื่นล้านบาท จากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics ซึ่งบันทึกไว้ในไตรมาส1/66 ตามการควบรวมกิจการของ SCGJWD

ประมาณการกำไรสุทธิของ SCC ในไตรมาสแรกปีนี้ที่ 2,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมามีกำไรจากขาดทุน 1,100 ล้านบาทในไตรมาส 4/66 แต่ลดลงจากกำไร 1.65 หมื่นล้านบาทในไตรมาส1/66

ผลประกอบการของ SCC น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายหลายประการใน Q1/67 ซึ่งเราคาดว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะมี EBITDA (รวมส่วนแบ่งกำไร) ที่ 2,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% QoQ แต่ลดลง 30% YoY โดยประมาณการของเราได้รวมกำไรจากสินค้าคงคลัง 458 ล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ ประมาณการ EBITDA ของเราจะเติบโตเพียง 7% QoQ อัตรากำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักยังคงเปราะบางในช่วงไตรมาสนี้ การคำนวณของเราชี้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ SCC เพิ่มขึ้นเพียง 4% QoQ 

นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตน่าจะยังคงต่ำ เตาแครกเกอร์ขนาดเล็กของ SCC ซึ่งปิดดำเนินการตั้งแต่ Q3/66  เพิ่งกลับมาดำเนินการในช่วงปลายเดือนมีนาคม และจะใช้เวลาจนถึง Q2/67 จึงจะสามารถดำเนินการได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (CBM) แม้จะได้รับแรงหนุนตามฤดูกาล และมีสัญญาณที่ดีในตลาดภูมิภาค แต่ตลาดในประเทศไทยยังคงซบเซาในไตรมาสแรก เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลล่าช้า คาดว่าส่วนงานนี้จะมี EBITDA อยู่ที่ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% QoQ แต่ลดลง 17% YoY

อัปเดตเกี่ยวกับโครงการ Longson Petrochemical Complex (LSP)การแล้วเสร็จของโครงการ LSP ของ SCC ในเวียดนามถูกเลื่อนออกไปจนถึงเดือนมิถุนายน เนื่องจากประสบปัญหาทางเทคนิคระหว่างการซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม SCC ยังมั่นใจว่าแม้จะมีความล่าช้า แต่ต้นทุนโครงการทั้งหมดจะยังคงอยู่ในงบประมาณที่วางไว้ ซึ่งแบบจำลองของเราได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการใน 2H และเราประมาณการว่าโครงการจะคุ้มทุนใน 2024F เท่านั้น

คงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ SCC โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 302.00 บาท

คงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ SCC โดยมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 302.00 บาท ซึ่งคำนวณจาก SOTP ทั้งนี้ เราเห็นศักยภาพการฟื้นตัวของตลาดปิโตรเคมีบางส่วนในช่วง 2H แต่ยังคงชอบ PTTGC มากกว่า เนื่องจากมีพอร์ตสินค้าที่หลากหลายกว่า โดยมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบที่สำคัญ ได้แก่ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลง และการหยุดดำเนินการนอกแผน และปัจจัยบวกที่สำคัญคือ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินผลประกอบการของ SCC งบไตรมาส 1/67 คาดมีกำไรสุทธิ 2,000 ล้านบาท ปรับลดลงกว่า 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)  แต่ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ 1,100 ล้านบาท เมื่อช่วงไตรมาส 4/2566

โดยเป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเคมี (SCGC) มีปริมาณยอดขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรวม (PE, PP และ PVC) ที่ระดับ 524,000 ตัน ลดลงกว่า 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามแผนปิดซ่อมบำรุงของโรงแครกเกอร์ ROC ขณะที่ HDPE และ PP spread ลดลง 10% และ 12% ตามลำดับ

ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 46,400 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล ขณะเดียวกัน EBITDA margin ของ CBM จะอยู่ที่ 6% ลดลงจาก 10.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 

โดยยังแนะนำ“ถือ” หุ้น SCC ให้ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 270 บาท