บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% และกำไรสุทธิ 1,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161% ตามลำดับ ขณะที่รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% และกำไรปกติ 1,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 154% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตราการเติบโตของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจที่สร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติม สำหรับงวดปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.1170 บาท โดยบริษัทกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของ WHA Group
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทยังเดินหน้าสร้างการเติบโตของรายได้ และกำไรสุทธิ ผ่านการขับเคลื่อนของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม สอดรับกระแสการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิตของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนโยบายภาครัฐที่กระตุ้นการดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาในประเทศ ทำให้ภาคการลงทุนกลับมาคึกคักอีกครั้ง และหนุนให้ 4 กลุ่มธุรกิจของบริษัทได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกดังกล่าว
ธุรกิจโลจิสติกส์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 1/2567 มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มรวม 29,623 ตร.ม. และมีสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวน 33,455 ตร.ม. ทำให้บริษัทมีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวม 2,960,056 ตร.ม. ส่งผลให้ไตรมาส 1/2567 บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 297 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทได้จัดตั้ง บริษัท โมบิลิกส์ จำกัด (Mobilix) แบรนด์ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 ประสบความสำเร็จมีลูกค้าเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 176 คัน และคาดว่าทั้งปีจะมีลูกค้าเข้ามาเซ็นสัญญาเพิ่มได้ถึง 1,000 คัน ตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 หลังจากที่เฟส 1 มีผู้เช่าเต็มพื้นที่แล้ว บริษัทจึงเร่งพัฒนาเฟส 2 เพื่อรองรับลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดบริษัทผู้ผลิต/จำหน่ายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงและอาหารสัตว์ได้ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่เพิ่มเติมกว่า 10,800 ตร.ม. จากเดิมที่ได้เช่าพื้นที่ไปแล้ว 46,200 ตร.ม. และยังมีแผนเช่าพื้นที่คลังสินค้าในเฟส 2 เพิ่มอีกราว 9,000 ตร.ม.
แผนการขายทรัพย์สินและสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART และ WHAIR รวมประมาณ 213,000 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าราว 5,290 ล้านบาท บริษัทเตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหน่วยกองทรัสต์ WHART และ WHAIR เพื่อขออนุมัติในช่วงไตรมาส 2/2567
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมไตรมาส 1/2567 บริษัทมียอดการโอนที่ดินสูงขึ้นมากกว่าสองเท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายที่ดินรวม 629 ไร่ (ไทย 575 ไร่ / เวียดนาม 55 ไร่) และยอดลงนาม MOU รวม 715 ไร่ (ไทย 669 ไร่ / เวียดนาม 46 ไร่) ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 2,130 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 บริษัทมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า (Backlog) สูงถึง 1,087 ไร่ (ไทย 1,052 ไร่ / เวียดนาม 34 ไร่)
ปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งประเทศไทยและเวียดนามทั้งหมด 77,600 ไร่ รวมพื้นที่ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทยจำนวน 12 แห่ง อีกทั้งยังมีโครงการพัฒนานิคมฯ ใหม่และขยายนิคมฯ รวม 7 โครงการ บนพื้นที่รวมเกือบ 10,000 ไร่ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่นิคมฯ รวมกว่า 52,000 ไร่ ในปี 2570 สำหรับโครงการนิคมฯ ใหม่ล่าสุด ได้แก่ โครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 5 (3,400 ไร่) คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในสิ้นปี 2567 นี้
ประเทศเวียดนาม บริษัทมีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้วและกำลังพัฒนารวม 22,815 ไร่ (3,650 เฮกตาร์) ประกอบด้วยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน ซึ่งเฟส 1 มีผู้เช่าเกือบเต็มพื้นที่แล้ว และเฟส 2 ซึ่งมีลูกค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำได้เช่าพื้นที่ไปแล้วรวมกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่เฟส 2 จากความสำเร็จของทั้ง 2 เฟส บริษัทจึงเร่งพัฒนาเฟส 3 ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตคาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 3 โครงการในจังหวัด Thanh Hoa และ Quang Nam ด้วยเช่นกัน
ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ภาพรวมผลประกอบการธุรกิจน้ำปรับตัวดีต่อเนื่องส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมในธุรกิจสาธารณูปโภค ในไตรมาส 1/2567 เท่ากับ 771 ล้านบาท โดยมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 40.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศ จำนวน 32.2 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากการเติบโตขึ้นของปริมาณยอดจำหน่ายน้ำทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม และน้ำดิบที่มีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
นอกจากนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาการให้บริการน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ปริมาณการผลิต 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ให้กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงเดือนกันยายนนี้
ขณะที่ปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในประเทศเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2567 บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 8.2 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปริมาณยอดขาย และการบริหารน้ำของโครงการ Duong River ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายพื้นที่การให้บริการและปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่
ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ในไตรมาส 1/2567 เท่ากับ 352 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าโดยรวมเพิ่มขึ้น จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้า GHECO-One ที่เพิ่มขึ้นจากการหยุดซ่อมบำรุงลดลง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPPs ที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในไตรมาส 1/2567 บริษัทได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 16 สัญญา โดยแบ่งเป็นโครงการ Private PPA 15 สัญญา มีกำลังการผลิตประมาณ 59 เมกะวัตต์ และโครงการ EPC Service 1 สัญญา กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 มีการเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสมรวม 242 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์รวม 125 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ราว 792 เมกะวัตต์
ส่วนโครงการที่บริษัทได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานในการได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ บริษัทคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ภายในไตรมาส 2/2567
ธุรกิจดิจิทัล บริษัทเดินหน้ายกระดับองค์กรในทุกมิติเพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 นี้ ภายใต้ภารกิจ “Mission To The Sun” โดยมุ่งเน้นโครงการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล การสร้างผลิตภัณฑ์ และมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ พร้อมเสริมศักยภาพทางธุรกิจของบริษัทโดยโครงการที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ โครงการ Green Logistics ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา WHA Green Mobility Platform (W-GMP) ที่รวมบริการต่างๆ สำหรับลูกค้ายานยนต์ไฟฟ้าภาคธุรกิจตั้งแต่การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) ไปจนถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานี อัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming) บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดตัวแพลตฟอร์ม W-GMP ได้ภายในไตรมาส 2/2567 ด้วยแพลตฟอร์มดังกล่าว บริษัทจึงถือเป็นผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้ารายแรกที่ให้บริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศ (End-to-end process)
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีการพัฒนาโครงการ AI Transformation จำนวน 12 โครงการที่เน้นการนำเทคโนโลยี AI อย่าง AI & ML Data Insight, AI Cybersecurity และ Generative AI มาขับเคลื่อนองค์กร ที่เป็นการพัฒนาต่อยอดโครงการ Digital Transformation กว่า 38 โครงการของบริษัทอีกด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทยังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายใหญ่ โดยมียอดจองล้นเกินเป้ากว่า 3 เท่า สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2567 มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน / เงินลงทุน / ค่าใช้จ่ายลงทุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท