GLOBAL อัดงบ 3 พันล้าน เร่งสร้างสาขาใหม่ทั้งในและต่างประเทศหวังดันยอด

13 พ.ค. 2567 | 23:00 น.

GLOBAL มองไตรมาส 2/67 ยอดขายสาขาเดิมพลิกเป็นบวก หลังภาครัฐเร่งใช้งบปี 66 ตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย. พร้อมคงมาร์จิ้นไม่ต่ำกว่า 25% วางงบ 3 พันล้าน รองรับการเปิดสาขาใหม่ทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 17 สาขา วางเป้าปี 68 รายได้โต 40%

นายยุทธนา สุริยวนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดูแลงานด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และอุตสาหกรรม ในช่วงไตรมาส 2/2567 เชื่อว่าจะมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้นกว่าทั้งเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน และเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า หลักๆ เป็นผลมาจากการเร่งใช้เงินงบประมาณปี 2566 ของถาครัฐ ในช่วงปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมา ทำให้ยอดขายมีสัญญาการขยายตัวที่ขึ้น

โดยยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ระดับ -5% แต่หลังจากที่ภาครัฐเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณของปีก่อนทำให้ในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา SSSG มีสัญญาณที่ดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -1% และมีทิศทางที่ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนเดือนพฤษภาคมนี้ ที่ SSSG สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในระดับตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ ส่งผลให้คาดว่า SSSG เฉลี่ยทั้งไตรมาส 2/2567 จะกลับมาเป็นบวกได้ และจะมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2567

ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ากลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง คิดเป็นกว่า 35-40% ของยอดขายรวม ดังนั้น การที่ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ภาครัฐฯ มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปด้วยเช่นเดียวกัน

ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2567 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 25-26% จากไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ระดับ 25.35% ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น House brand ที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่า 40% ให้มากขึ้น โดยบริษัทมีเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House brand ให้เป็นไม่น้อยกว่า 30% ของยอดขายรวมภายในระยะเวลาไม่เกิน 2-3 ปีข้างหน้า

ด้านต้นทุนโดยรวมของบริษัทในช่วงไตรมาส 2/2567 มองว่ายังทรงตัวใกล้เคียงเดิม ยกเว้นราคาเหล็กที่ปรับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 1% ซึ่งมองว่าเป็นปกติเพราะราคาเหล็กค่อนข้างผัวผวน แต่อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพย์ยากรในส่วนต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่ดีและมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงาน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนผู้ถือหุ้นได้

กรณีโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet นั้น บริษัทมองว่าอาจยังคงต้องรอเงื้อนไขที่ชัดเจนของทางภาครัฐอีกครั้ง เนื่องจากที่ภาครัฐระบุเงื่อนไขว่า ร้านค้าใหญ่อาจจะไม่ได้เข้าร่วม จึงทำให้ต้องรอความชัดเจนของภาครัฐก่อน โดยสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าจับจ่ายใช้สอยไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งมองว่าหากบริษัทเข้าร่วมได้ จะส่งผลให้มีเงินสะพัดเข้ามายังบริษัทร่วมด้วย

แผนการลงทุนในปี 2567 บริษัทวางการใช้งบประมาณไว้ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท หลักๆ เพื่อรองรับการสร้างสาขาใหม่ และการปรับปรุงหน้าร้านของ 10 สาขาเดิม โดยในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายการเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทย จำนวน 8 สาขา ในไตรมาส 1/2567 เปิดแล้ว 1 สาขา ไตรมาส 2/2567 เปิดไปแล้ว 1 สาขา และมีแผนจะเปิดเพิ่มในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน อีก 2 สาขา อีก 4 สาขาที่เหลือจะทยอยเปิดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ได้ครบตามเป้าหมาย ส่งผลให้สิ้นปีนี้จะมีสาขาเปิดให้บริการรวมทั้งสิ้นเป็น 91 สาขา

ขณะที่การเปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศนั้น ในประเทศเมียนมาบริษัทมีแผนจะกลับมาลงทุนขยายสาขาใหม่ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2-3 สาขา ภายในปี 2567-2568 โดยคาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง และเปิดให้บริการในปีหน้า จากปัจจุบันที่มีสาขาทั้งสิ้น 12 สาขา เช่นเดียวกันกับประเทศอินโดนีเซีย ที่บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มในปีนี้อีก 2-3 สาขา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งหลังปี 2567 นี้ จากปัจจุบันที่มีสาขาให้บริการแล้ว 13 สาขา

ส่วนประเทศลาว ในปี 2567 นี้ บริษัทมีแผนเปิดให้บริการสาขาใหม่เพิ่ม 2 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขาเปิดให้บริการแล้ว 1 สาขา สำหรับประเทศกัมพูชา ในช่วงไตรมาส 1/2567 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่ที่ จังหวัดพระตะบอง ไป 1 สาขา ทำให้ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการทั้งสิ้น 2 สาขา อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้มการเติบโตของยอดขายสาขาในต่างประเทศยังคงทำได้ดี และยังสร้างส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนให้กับบริษัทได้อย่างดี เพียงแต่ด้วยเงินบาทที่อ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับกว่า 37 บาท อาจเป็นผลกระทบต่อบริษัท เพราะค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านอ่อนกว่าไทยค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 40% ภายในปี 2568 โดยจะรุกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่ตอบสนองวิถีชีวิตใหม่ด้วย (New Normal)