นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยในงานสัมมนา หุ้นไทย 2024 with the Dragon Fire "Discover new opportunities" ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 67 มองเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างพร้อมเพียงกัน ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงการผลิตและส่งออกในตลาดเอเชียเริ่มกลับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจในประเทศไทยฟื้นตัวขึ้นตามมาก
อีกทั้งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และแคนาดา (บีโอซี) มีการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ตลาดเอเชียมีความน่าสนใจได้มากขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น มองว่าการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล จะหนุนให้การลงทุนและการบริโภคดีขึ้น รวมถึงมองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
ส่วน 5 หุ้นเด่นในตลาดหุ้นไทยที่แนะนำ ได้แก่ ADVANC ผลประกอบการมั่นคง ไตรมาสแรกผลงานค่อนข้างดี Synergy ลดต้นทุนได้ค่อนข้างดี และจะดีต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้, KCE มองว่าได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า รายได้สูงขึ้น มาร์จิ้นมากขึ้น แม้ต้นทุนทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจทำให้มีความกังวลอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี และมีการสั่งซื้อและล็อกราคาวัตถุดิบไว้ล่วงหน้าแล้ว
OSP ผลประกอบการมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น และมาร์จิ้นที่มากขึ้น ในขณะที่มีต้นทุนลดลง อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2/67 อากาศร้อน คนต้องการเครื่องดื่ม ทำให้ยอดขายปรับตัวสูง, PTTGC ตั้งแต่ปีก่อนได้รับแรงกระทบมาค่อนข้างมาก ต่อเนื่องมาจนถึงครึ่งแรกปีนี้ จากซัพพลายที่เข้ามาเยอะจนถูกกระแทกมาพอสมควร ปีนี้มองว่าซัพพลายยังมีเข้ามาอยู่แต่เบาบางลงมาก ส่วนต่างจะเริ่มกว้างมากขึ้น ต้นทุนในช่วงที่ผ่านมาก๊าซอ่าวไทยน้อย ตรงนี้จะเพิ่มมากขึ้น จะมาหนุนมาร์จิ้น ภาพเศรษฐกิจโลก จีนฟื้น PTTCG ก็น่าจะฟื้นตัวด้วย และ TU ที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ไทยส่งออกมากขึ้น มาร์จิ้นดีขึ้น สินค้าอาหารเริ่มเทิร์นอะราวด์มากขึ้น ขณะเดียวกันจากราคาปลาทูน่าที่ลดลง ยังช่วยหนุนมาร์จิ้นได้เพิ่มอีกด้วย
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทางฝ่ายมีมุมมองในเชิงบวกต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 67 เนื่องจากความว่าเศรษฐกิจในประเทศจะกลับมามีการเติบโตและมีสมดุลในหลายมิติมากขึ้น หากเทียบหลังจากที่มีช่วงเลือกตั้งในอดีตในปีนี้จะเหมือนต้องคำสาป เศรษฐกิจจะสะดุด แต่ในปีถัดไปรัฐบาลจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณค่อนข้างมาก ซึ่งในปีนี้เชื่อว่าจะวนกลับมาอยู่ในวัฏจักรเช่นนั้น
ทั้งในเรื่องการเร่งเบิกจ่ายงบรองรับการขับเคลื่อนแผนการลงทุนของภาครัฐ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากนี้ มองว่าการเกิดสภาพอากาศที่แปรปรวน "ลานีญา" อาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่หลายฝ่ายกังวลกัน เชื่อว่าจะทำให้ปริมาณน้ำที่เคยแล้งมีเพิ่มมากขึ้น อากาศชุ่มชื้น ไม่ถึงขั้นรุนแรงจนเกิดน้ำท่วม ซึ่งมองว่าจะเป็นผลบวกต่อเกษตรกร ทำให้ผลผลิตที่ออกมามีคุณภาพ และมีปริมาณที่มากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับ 5 หุ้น เด่นที่แนะนำ ได้แก่ CPALL เพราะได้ประโยชน์เต็มที่จากดิจิทัลวอลเล็ต มองว่ามีหุ้นไม่กี่ตัวที่ใช้ได้ ในมุมของรัฐบาล เองก็เข้าใจว่าต้องหาที่ใช้เงินก้อนนี้ให้กับประชาชนได้ ซึ่งปลอดภัยที่สุดคือร้านที่มีในพื้นที่ มีขนาดไม่ใหญ่ เพื่อให้คนสามารถใช้สิทธิ์ได้, KBANK แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่วัฏจักรห่างจากขาขึ้น การลดดอกเบี้ยเองมองว่าธนาคาร NIM ไม่ได้ลงเร็วขนาดนั้น เชื่อว่าบรรยากาศจากนี้คุณภาพลูกหนี้เริ่มดีขึ้น แบงก์ก็จะมีคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้นด้วย
OSP คนใช้สิทธิ์ดิจิทัล รับอานิสงส์เข้ามาบ้างทางอ้อม ซึ่งสัดส่วนธุรกิจกว่า 70% มียอดขายอยู่ในประเทศ แบ่งเป็น30% ร้านค้าขนาดเล็ก ที่เหลืออีกประมาณ 60-70% มาจากโมเดิร์นเทรด , SCGP มองว่าการเติบโตของธุรกิจนั้น อิงเศรษฐกิจประเทศจีนไม่เกิน 10% และเวลาฟื้นตัวก็จะฟื้นจากการบริโภคที่ดีขึ้น เพราะสะท้อนต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ และ TU แม้ว่าในปีก่อนมีการตั้งสำรองไปค่อนข้างเยอะ แต่เชื่อว่าในปีนี้เริ่มดีขึ้นเพราะไม่มีผลขาดทุนจากเรดล็อบสเตอร์อีกแล้ว
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงายวิจัย บริษัทหลีกทรัพย์ บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า มองว่าบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 67 จะปรับตัวดีขึ้น และเชื่อว่าจากการที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) มีการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อรักษาความเป็นธรรมในตลาดทุน จะสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนได้
ทั้งนี้ ทีมการเลือกลงทุน 5 หุ้นนั้น มองว่าในเรื่องของเทคโนโลยีและการมีนวัตกรรมใหม่เข้ามามีบาบาทในการดำเนินธุรกิจนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่น OSP ที่มีแผนการพัฒนาเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งอีกความน่าสนใจคือ จากการที่ไปตั้งโรงงานผลิตในเมียนมา ทำให้ OSP สามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับรายอื่นๆ และเป็นผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูง
นอกจากนี้ ยังชอบ SFLEX อยากให้มองหุ้นตัวนี้ไว้บ้าง หากบอกว่า TU กำไรดีขึ้น และ SCGP มีแนวโน้มเป็นบวกจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่า SFLEX จะได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะมีธุรกิจที่เชื่อมโยงกันกับทั้ง TU และ SCGP โดยหากว่าการอุปโภค-บริโภคดี สบู่ ยาสระผมขายดี SFLEX ก็ได้รับอานิสงส์ เพราะเป็นผู้ผลิตซองบรรจุภัณฑ์ (Flexible Packaging) ด้านหุ้น SAV ก็น่าสนใจ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับวิทยุการบินมี ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความจำเป็นเพื่อสร้างความปลอดภัย เป็นหุ้นอีกตัวที่มีนวัตกรรม มีอะไรที่จะทำร่วมกับ AOT ในอนาคต มองว่าเมื่อได้สัมปทานแล้วก็ทำงานกันไปต่อได้ยาว
ส่วน CPF มองถึงรอบการกลับมาเทิร์นอะราวด์ แม้ก่อนหน้นี้เคยสบประม่าว่าอาจเป็นหุ้นที่ไม่แสวงหากำไร แต่เพราะราคาหมูในจีนเริ่มฟื้น เวียดนามมีกำไรมาก หมูไทยถึงจุดคุ้มทุน การปราบหมูเถื่อนได้ผล ธุรกิจในยุโรปที่ซึมตัวมานานเริ่มฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น ก็หนุนให้ CPF ปีนี้มีกำไรที่สดใส และ MINT รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ห้องพักในเยอรมันฟื้นตัวได้ดีมาก ยอมรับว่าจากการแข่งขันฟุตบอล ยูโร 2024 มีส่วนเข้ามากระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงกระตุ้นยอดขายในส่วนของร้านอาหารให้ขยายตัวดีขึ้น