"FUND FLOW" ครึ่งแรก 67 ไหลออกตลาดหุ้นไทยหนักสุด จี้รัฐเร่งกอบกู้ศก.-ศรัทธา

19 มิ.ย. 2567 | 06:15 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มิ.ย. 2567 | 06:53 น.

FUND FLOW ไหลออกจากไทย หนักสุดในภูมิภาค ครึ่งแรก 67 กว่า 2.8 พันล้านเหรียญ ขณะที่ไหลเข้าตลาดหุ้นกลุ่ม TECH "ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ " มากสุด 3.8 หมื่นล้าน,1.6 หมื่นล้านเหรียญตามลำดับ "ไพบูลย์" แนะรัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นกอบกู้ศก.ให้โตไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี ผลักดันกองทุน LTF เกิด

ปัจจัยกดดันทั้งเรื่องเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ และปัญหาด้านการเมือง ได้ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน ทุบดัชนีหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปี 67 ( YTD) ดัชนี SET ดิ่ง  8.4%  หลุด 1300 จุด โดยทำจุดต่ำสุดล่าสุด 1,288.92  จุด (ปิดภาคเช้า 19 มิ.ย.67) ต่ำสุดในรอบ 4.2 ปี และส่งผลให้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยถึงปัจจุบันแล้วกว่า 1.02 แสนล้านบาท เทียบตลาดหุ้นในภูมิภาค พบว่า FUND FLOW ไหลออกตลาดหุ้นไทยมากสุด 

"FUND FLOW" ครึ่งแรก 67 ไหลออกตลาดหุ้นไทยหนักสุด จี้รัฐเร่งกอบกู้ศก.-ศรัทธา

ข้อมูลจากฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า  FUND FLOW ต่างชาติในช่วงครึ่งแรกปี 67 เอนเอียงไหลไปที่หุ้นกลุ่ม TECH มากขึ้น สะท้อนได้จากตลาดหุ้น NASDAQ ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่น +19%YTD เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของ FUND FLOW ในตลาดหุ้นในภูมิภาค ที่เอนเอียงไปที่ตลาดหุ้นในแถบเอเชียเหนือเป็นหลัก (ส่วนใหญ่มีหุ้นกลุ่ม TECH ประกอบ)

โดยต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากสุด +3.79 หมื่นล้านเหรียญ รองลงมาคือ เกาหลีใต้ +1.59 หมื่ล้านเหรียญ และไต้หวัน + 4.1 พันล้านเหรียญ ในทางตรงกันข้ามขายสุทธิตลาดหุ้นในแถบเอเซียใต้ โดยตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิมากสุด -2.78 พันล้านเหรียญ ตามมาด้วยเวียดนาม -1.4 พันล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ -481 ล้านเหรียญ และอินโดนีเซีย -423 ล้านเหรียญ FUND FLOW ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในปีนี้สูงสุดในภูมิภาค และเกิน 1 แสนล้านบาท กดดันให้เตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงสุดในภูมิภาค -8.4% YTD 

โดยการไหลออกของ FUND FLOW ในตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นหนักๆ ในช่วงปลายเดือน พ.ค. - ปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากทางการเมืองสูง กดดันให้ต่างชาติขายหุ้นไทย 19 วันทำการติด (21 พ.ค.-18 มิ.ย.67 ) กว่า -3.66 หมื่นล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นน่าจะเห็น FUND FLOW ชะลอการไหลออกบ้าง เนื่องจากสถานะการณ์การเมืองมีอยู่ แต่เหตุให้เปลี่ยนแปลงเร็วๆ อย่างมีนัยฯ ยังไม่เกิดขึ้นอีกซักระยะ อีกทั้งนักลงทุนยังเฝ้ารอกฏ UPTICK ที่เริ่มใช้วันที่ 1 ก.ค.67 และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ใกล้เข้ามามากขึ้น รวมถึงเริ่มเห็นต่างชาติกลับมาซื้อ SET50 FUTURES กว่า 22,257 สัญญา ในวานนี้เพราะหากพิจารณาจากสถิติในปีนี้ พบว่า ต่างชาติซื้อ SET50 FUTURES เกิน 2 หมื่นสัญญาต่อวัน ทั้งสิ้น 16 วัน น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น และต่างชาติอาจจะขายสำหรับหุ้นไทยน้อยลงในระยะถัดไปได้

 

มูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุน  ( YTD )

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จํากัด เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักกดดันตลาดหุ้นไทย คือ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำกว่า 2% ติดต่อกัน4 ไตรมาส และผลประกอบการที่แย่ของบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.)ที่กำไรสุทธิลดลง 11% ในปีที่ผ่านมา และขยายตัวไม่ถึง 2% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ด้านการเมืองคืออีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสถานะของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและสูญญากาศทางการเมือง

"มองในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวน์ เพราะทั้งเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ตัวช่วยสำคัญ คือ ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่เริ่มกลับสู่ขาลง ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ มักได้อานิสงส์เงินทุนไหลเข้าช่วงดอกเบี้ยโลกขาลง หลังจากที่ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว และเฟด เตรียมลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง"

อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทย จะฟื้นได้แรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน อย่างแรก รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี ตลอดอายุรัฐบาล โดยอาจเริ่มต้นด้วยการปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวและเป็นที่ยอมรับ  และต้องเร่งกู้ Trust and Confidence ให้กลับคืนมาโดยเร็ว ผ่านการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อกังวลต่างๆ ของนักลงทุน รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและรวดเร็ว 

นอกจากนั้น รัฐบาลต้องไม่รีรอที่จะเพิ่มกำลังซื้อในตลาดหุ้นไทย ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบกองทุน LTF แบบเดิม หรือปรับรูปแบบกองทุน TESG ให้มีวงเงินสูงขึ้นและระยะเวลาลงทุนสั้นลง เพื่อสร้าง Impact ต่อตลาดหุ้นให้ได้มากและเร็วที่สุด

ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน VI รายใหญ่ กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าปัญหาของหุ้นไทย อาจจะไม่ใช่ปัญหาชั่วคราว  แต่เป็นปัญหาถาวรที่เกิดจากโครงสร้างซึ่งยากจะแก้ไข ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยมาตลอด โดย 3 ปัญหาโครงสร้างหลัก นั่นก็คือ

โครงสร้างแรก เรื่องของประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  ขณะที่จำนวนคนเกิดใหม่น้อยลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า ทำให้จำนวนคนทำงานสร้างผลผลิตหรือ GDP และประสิทธิภาพก็ลดลงเรื่อย ๆ คนมีความรู้ทางเทคโนโลยีไม่พอ

โครงสร้างที่สองคือเรื่องของระบบการปกครองประเทศ ค่อนข้างล้าสมัยไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปได้รวดเร็วพอ  จึงไม่สามารถตอบสนองต่อเจตจำนงเสรีของประชาชนที่แท้จริงได้เพียงพอ และรัฐบาลก็ไม่สามารถมีเสถียรภาพเพียงพอที่จะปฏิบัติตามเจตจำนง  

และโครงสร้างที่สามก็คือ โครงสร้างของบริษัทซึ่งก็เป็นผู้เล่นหลักในเศรษฐกิจ เป็นอุตสาหกรรมยุคเก่าหรือยุคปัจจุบันที่กำลังอิ่มตัว  บริษัทใหญ่ ๆ  ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้มีการสร้างธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะสร้างเอสเคิร์บหรือการเติบโตใหม่ ๆ ขึ้น เทียบกับคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เคยเป็นรองไทยในอุตสาหกรรมรุ่นเก่า  ขณะนี้กลับนำไทยในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ