นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) หรือ เฟทโก้ เปิดเผยว่า ในวันนี้ (28 มิ.ย.67) ทางเฟทโก้ จะเข้าพบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) เพื่อหารือในเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) รวมถึงการหารือเกี่ยวกับกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (Super Saving Funds : SSF) ที่จะหมดอายุการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ในปีนี้ เนื่องจากกองทุนดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร โดยเฉพาะนักลงทุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ว่าจะสามารถต่ออายุกองทุนฯ รวมถึงการปรับเปลี่ยนเงื่อนไข SSF อย่างไรได้บ้าง นอกจากนี้ก็จะมีการหารือเกี่ยวกับกองทุนอื่นเพิ่มในอนาคตเมื่อจังหวะเหมาะสม เพื่อสร้างการออมระยะยาว เช่นกองทุนการออมเพื่อการศึกษา
ทั้งนี้ ในส่วนของเม็ดเงินลงทุนในกองทุน Thai ESG ส่วนตัวคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท หลังการปรับวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 บาท จากเดิม 100,000 บาท และลดระยะเวลาการถือครองลงมาเหลือ 5 ปี ขณะที่มีเวลาอีก 6 เดือนที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในการจัดตั้งกองทุนที่เป็นที่ตรงกับความต้องการนักลงทุน และมีเวลาในการประชาสัมพันธ์
" หากเทียบกับการเปิดขายกอง Thai ESG ครั้งแรกปลายปี 2566 นั้น มีระยะเวลาการขายเพียง 3 สัปดาห์ รวมถึงนักลงทุนเองก็ยังไม่เข้าใจลักษณะกองทุน ยังสามารถขายได้ถึง 6,000 ล้านบาท สิ่งที่Thai ESG แตกต่างจาก LTF คือต้องลงทุนในหุ้นไทยที่ใส่ใจเรื่อง ESG และเรื่อง ESG นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญมาก เช่นกองทุนขนาดใหญ่ หากหุ้นนั้นไม่เข้าเรตติ้ง ESG ก็จะไม่ลงทุนเลย "
ส่วนในเรื่องที่กระทรวงการคลัง จะมีการฟื้นกองทุนวายุภักษ์นั้น ตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะต้องมีการหารือในรายละเอียดหลายอย่าง ซึ่งทางเฟทโก้ก็พร้อมมีการสนับสนุนในการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ตลาดหุ้นไทยมีสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น และทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีความน่าสนใจ
นายกอบศักดิ์ กล่าวถึง เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า น่าจะฟื้นตัวกลับมาดีอย่างชัดขึ้นในไตรมาส 4/2567จากการจับเคลื่อนมาตรการรัฐ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ที่เร่งตัวขึ้น ภาคท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน ทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้มีโอกาสเติบโต 3%
ภาพรวมประเทศไทย มองว่า เศรษฐกิจมหภาคยังไปได้ดี ต่างจากเศรษฐกิจจุลภาคระดับไมโคร และเอสเอ็มอีที่ยังมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนภาคการส่งออกจากนี้ไปมีโอกาสเติบโตตามการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก มองการลดดอกเบี้ยดังกล่าวจะยาวไปถึง 1 ปีครึ่ง