ลุ้นกำไรสุทธิ TU ไตรมาส 2/67 พุ่ง 1.4 พันล้าน ชี้ผลงานโค้งสุดท้ายปีนี้ทำนิวไฮ

07 ก.ค. 2567 | 08:35 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ค. 2567 | 08:36 น.

โบรกส่องกำไรสุทธิ TU แตะ 1.2-1.4 พันล้าน นำโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลแปรรูปกระป๋อง เข้ามาหนุนต่อยอดขายและมาร์จิ้น แนวโน้มกำไรจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 3/67 และทำนิวไฮในไตรมาส 4/67 ตามปัจจัยฤดูกาล พร้อมคาดกำไรปกติปี 67 มาอยู่ที่ 5.8-5.9 พันล้าน

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า ทางฝ่ายคาดผลประกอบการในไตรมาส 2/67 จะมีกำไรสุทธิ 1,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโต 3% จากไตรมาสก่อน ในไตรมาสนี้คาดบันทึกขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 150 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าวคาดกำไรหลักจะ -2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสก่อน จากรายได้รวมเพิ่มขึ้น 3% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 5% จากไตรมาสก่อน จากธุรกิจเกือบทุกกลุ่มที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง

ประกอบด้วย

  • ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป คาดรายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่ม โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม OEM ที่มีออเดอร์สินค้าเพิ่มตามราคาปลาทูน่าที่ปรับลดลงในไตรมาส 2/67 เฉลี่ย 1,478 ดอลลาร์/ตัน ลดลง -26% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน
  • ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ลดลงจากการปรับลดขนาดธุรกิจ Trading ที่อเมริกาที่มีผลขาดทุน รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ธุรกิจ Forzen รายได้ลดลง
  • ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง คาดรายได้เพิ่มขึ้น 33% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 7% จากไตรมาสก่อน จากกลุ่มลูกค้าสหรัฐฯและยุโรปที่เพิ่ม จากปัญหาการระบายสต็อกสินค้าเก่าเริ่มหมดลง การสั่งสินค้าพรีเมี่ยมของลูกค้ารายใหญ่กลับมามากขึ้น
  • ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า คาดเพิ่มขึ้นจากราคาขายที่ดีขึ้น และโรงงานใหม่ Culinary Business และ Ingredients Business เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 3/66 ที่ผ่านมา
  • รับรู้ส่วนแบ่งกำไร จากบริษัทร่วมทุน 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากธุรกิจ Avanti
  • อัตรามาร์จิ้น เพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนและจากไตรมาสก่อน ตามธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ที่เป็นธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนรายได้มากสุด ด้วยราคาปลาทูน่าที่ลดลง คาดค่าใช้จ่ายในการขายบริหารต่อยอดขายเพิ่มเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จากการทำการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย 

คาดผลประกอบการไตรมาส 3/67 ดีขึ้นทั้งเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน ต่อเนื่องจากดีมาน์ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ทางฝ่ายยังคงประมาณการเดิมคาดกำไรปกติปี 67 มาอยู่ที่ 5,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจาก Red Lobster (RL) แล้ว และคาดกำไรสุทธิปี 68 อยู่ที่ 6,545 ล้านบาท เติบโต 13% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ตามลำดับ แนวโน้มราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลต่ออัตรามาร์จิ้นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น และส่งผลธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ทางฝ่ายคาดว่าส่วนของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งยังลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการปรับลดขนาดธุรกิจในสหรัฐฯ โดยทางฝ่ายคาดอัตราทำกำไรจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 67 จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดจะกลับมาเติบโตมีอัตรามาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดใกล้เคียงเดิม และบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ปีละ 7% จากการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI และไม่มีเครดิตภาษีเงินได้จากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว

จากคาดผลประกอบการเริ่มกลับมาปกติและการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster (RL) แล้ว รวมถึงสถานการณ์ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย มูลค่าที่เหมาะสมที่ 17.5 บาท อ้างอิง historical PE forward ย้อนหลัง 7 ปี ที่ 14 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER24F ที่ 11.8 เท่า และคาด Dividend Yield ปี 67 ที่ 4.8% สถานะการเงินแข็งแกร่งคาด Net Debt/Equity ปี 67 อยู่ที่ 0.6 เท่า อย่างไรก็ดี ต้องจับตาความเสี่ยง อาทิ ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว, ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ, การขาดแคลนเรือนขนส่ง

*ไม่ขายหุ้นที่ซื้อคืน
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เผยในบทวิเคราะห์ TU ว่า ในไตรมาส 2/67 คาดกำไรปกติ 1.4 พันล้านบาท เพิ่ม 2.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเด่น 50% จากฐานต่ำในไตรมาส 1/67 มาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 3.57 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9%  เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 7.6%  จากไตรมาสก่อน นำโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลแปรรูปกระป๋อง เข้ามาหนุนต่อยอดขายและมาร์จิ้น รวมถึงการดำเนินดีขึ้นของ AVANTI และการไม่มีกิจการ RED LOBSTER ส่งผลบวกต่อส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม ชดเชยกับค่าใช้จ่ายขายบริหารและภาษีเพิ่มขึ้น

แนะนำ OUTPERFORM FV 19.00 บาท จากทิศทางกำไรที่ยังเป็นขาขึ้นในช่วงไตรมาส 3/67 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาล รวมถึงคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการครึ่งหลังปี 67 จะดีกว่าครึ่งปีแรก ด้านราคาหุ้นมี PER ซื้อขาย 12 เท่า และคาด DIV YIELD เฉลี่ย 4.7% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) สำหรับกรณีที่บริษัทเตรียมจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนเมื่อปี 66 (ช่วง 3 ม.ค. ถึง 30 มิ.ย. 66) จำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 14.88 บาท/หุ้น โดยกำหนดระยะเวลาจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. ถึง 12 ก.ค. 2567

ฝ่ายวิจัยมองว่ามีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะไม่จำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนข้างต้น และดำเนินการลดทุนในระยะต่อไป เนื่องจากหากย้อนไปดูโครงการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนปี 66 จำนวน 116.68 ล้านหุ้น ก็ไม่ได้มีการจำหน่ายออกมา และสุดท้ายทำการลดทุนแทน ดังนั้นหากเป็นกรณีเดียวกัน โดยตัดหุ้นซื้อคืนทั้งจำนวน 200 ล้านหุ้น จะทำให้ทุนชำระแล้วลดลงไปราว 4.3% จากจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ 4,655.13 ล้านหุ้น และส่งผลให้อัตราส่วนการเงินต่อหุ้น เช่น EPS ฯลฯ เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวย่อมส่งบวกต่อราคาหุ้น และยังไม่รวมผลกระทบดังกล่าวในประมาณการ

*TUเหมาะลงทุนระยะยาว

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 2/67 ของ TU ไว้ที่ 1,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.5% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 16.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ชะลอลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เห็นการฟื้นตัวเด่น จากไตรมาสก่อน จากธุรกิจ Ambient และ Pet Care ทั้งนี้ ทางฝ่ายประเมินแนวโน้มกำไรจะเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 3/67 และทำระดับสูงสุดของปีในไตรมาส 4/67 ตามปัจจัยฤดูกาล, ปริมาณความต้องการซื้อที่เติบโต และ GPM ที่ดีขึ้นจาก U-rate และการปรับราคากับลูกค้าขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายามีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ TU และประเมินว่าบริษัทมีโอกาสลดทุนจากหุ้นซื้อคืน ซึ่งมองจะเป็น Upside ต่อราคาเป้าหมายของทางฝ่ายที่ 0.70 บาท/หุ้น โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 67 ที่ 5,965 ล้านบาท เติบโต 5.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน คงราคาเป้าหมายที่ 16.80 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ” เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว