ลอบยิง"ทรัมป์" เซนติเมนท์ลบตลาดหุ้น ตลาดมองเพิ่มคะแนนเสียงพรรครีพับลิกัน

14 ก.ค. 2567 | 09:35 น.
อัพเดตล่าสุด :14 ก.ค. 2567 | 12:18 น.

โบรกมอง ลอบยิง "โดนัลด์ ทรัมป์" ช่วยเพิ่มคะแนนเสียงพรรครีพับลิกันชนะเลือกตั้ง ส่งผลเซนติเมนท์เชิงลบต่อตลาด กังวลปัญหาเทรดวอร์-ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ บานปลาย

จากกรณี นายโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี ผู้สมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จากพรรครีพับลิกัน โดนลอบยิง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ระหว่างการหาเสียง เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ตามเวลาท้องถิ่น

ต่อเรื่องนี้ นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส  กล่าวกับฐานเศรษฐกิจ ว่าข่าวลอบยิง"ทรัมป์" ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลเซนติเมนท์ลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะตลาดตีความในด้านผลต่อคะแนนเสียง ทำให้พรรครีพับลิกันมีคะแนนเสียงนำมากขึ้น 

"ผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน ( fundamental ) ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะสรุป แต่แน่นอนว่าเป็น"เซนติเมนท์เชิงลบ" ต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่จะเปิดตลาดในวันพรุ่งนี้ ( 15 ก.ค.67) เพิ่มความกังวลที่ว่า หาก"ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง  ปัญหาด้านเทรดวอร์ก็ดี และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะบานปลายเพิ่มหรือทิศทางจะไปทางไหน  ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นที่ต้องติดตามในช่วงต่อไป " นายเทิดศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ นักวิชาการประเมินว่าหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง 2567 จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ สรุปความเสี่ยงแบ่งออกเป็น 2 เรื่องใหญ่คือ

 

ลอบยิง\"ทรัมป์\" เซนติเมนท์ลบตลาดหุ้น ตลาดมองเพิ่มคะแนนเสียงพรรครีพับลิกัน

1.เสี่ยงเศรษฐกิจแบบปกป้องและกีดกัน ทรัมป์มีนโยบายชัดเจนปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ การลดการขาดดุลการค้าเดินหน้าต่อ งานแรกที่ทรัมป์เคยทำคือการตรวจสอบ 16 ประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามาก รวมทั้งประเทศไทย (ในอาเซียน สหรัฐ ฯ ขาดดุลเวียดนาม มาเลเซีย และไทยมากสุด) ภายใต้ “American First” หากทรัมป์มา ประเด็นนี้จะเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าตัว

2.เสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สู่สงครามบานปลาย ทรัมป์จะลดการสนับสนุนทั้งเงินและอาวุธให้ยูเครน และจะเจรจากับรัสเซียแทน (ปัจจุบันสหรัฐฯ คิอ ผู้บริจาครายใหญ่ให้ยูเครน) ความเสี่ยงและภาระค่าใช้จ่ายจะตกกับประเทศยุโรปและนาโต้ ยุโรปจะเสี่ยงต่อเศรษฐกิจถดถอย  ขณะที่สงครามในตะวันออกกลางจะเข้มข้นขึ้นจากการสนับสนุนอิสราเอลของทรัมป์ (เช่น กรณีการรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอิสราเอล) ยกเว้นกรณีไต้หวัน ทรัมป์จะลดการพึ่งพิงชิปจากไต้หวัน แต่หันมาผลิตเอง และไม่สนับสนุนไต้หวันทำสงครามกับจีน 

 

บล.กสิกรไทย คาดหุ้นไทย (15-19 ก.ค.) แนวรับ 1,300-1,315 จุด

ด้านบล.กสิกรไทย ประเมินตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ถัดไป (15-19 ก.ค.) คาดดัชนี SET มีแนวรับที่ 1,315 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,340 และ 1,350 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด การทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบจ.ไทย โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ 

ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 และตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีก การประชุม ECB และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมิ.ย.ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่น

หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET ปิดวันศุกร์ที่ 12 ก.ค.67 ที่ระดับ 1,332.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.53% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,365.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.84% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.38% มาปิดที่ระดับ 356.52 จุด