บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เปิดการซื้อขายในตลาด mai วันนี้ 31 ก.ค.2567 เป็นวันแรก โดยความเคลื่อนไหวของราคาเปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 2.28 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% จากราคาเสนอขาย (ไอพีโอ) ที่ระดับ 2.00 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 51 ล้านบาท
นายศรัณย์ เวชสุภาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เปิดเผยว่า การเปิดซื้อขายหุ้นวันแรกในราคาเปิดเหนือจอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ NCP สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ มีศักยภาพการเติบโตสูง และมั่นใจในกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท ที่สอดรับไปกับเทรนด์การเติบโตของโลกดิจิทัล รวมถึงผลประกอบการที่มีโอกาสเติบโตได้อีกไกลในอนาคต นักลงทุน ให้การต้อนรับหุ้น NCP ไปในทิศทางที่ดี
โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจภายหลังการระดมทุน จะมุ่งต่อยอดยอดจากธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเดิม ซึ่งเป็น Business Model ใหม่ ที่จะทำให้บริษัทฯ เติบโตไปกับโลกดิจิทัล ควบคู่กับตลาด E-commerce ที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประกอบด้วย
ทำให้ผู้ประกอบจำนวนมากเลือกใช้ Telesales ในการทำการตลาดออนไลน์เพื่อต่อยอดธุรกิจ ส่งผลให้บริการของบริษัทเป็นที่ต้องการของตลาด ดังนั้น NCP จึงเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ที่เข้าไปสนับสนุนธุรกิจ E-Commerce ให้มีผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นับเป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเพิ่มพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ที่เป็นพนักงานประจำและผู้ต้องขังเป็น 1,000 คน จากปัจจุบันที่มี 219 คน ประกอบด้วย พนักงานประจำ 85 คน และผู้ต้องขัง 134 คน โดยมีแผนขยายขอบเขตการทำงานในเรือนจำเพื่อให้มีพนักงาน Telesales เพิ่มขึ้นปีละ 100-150 ที่นั่ง หรือราว 2-3 เรือนจำ/ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้านำเสนอโครงการและสำรวจพื้นที่เรือนจำแห่งใหม่อีก 5 แห่งทั่วประเทศ โดยในช่วงไตรมาส 2-3/2567 มีแผนเข้าสำรวจพื้นที่เรือนจำแห่งใหม่อีก 1 แห่ง ส่วนปี 2568-2569 คาดเปิดดำเนินการอีกปีละ 2 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและนำเสนอโครงการ
NCP ดำเนินธุรกิจช่องทางขายผ่านทางโทรศัพท์, มีทีมงานขายสินค้าทางโทรศัพท์มืออาชีพ, มีเทคโนโลยีระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมากกว่า 5 ล้านรายชื่อ โดยบริษัทมีระบบการดูแลข้อมูลลูกค้าตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA อย่างเคร่งครัด ตลอดจนมีระบบการบริหารคลังสินค้าพร้อมส่งที่มีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของ NCP คือการเป็น Telesale ที่สามารถตอบโจทย์ในทุกธุรกิจที่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็นรูปแบบซื้อขายสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ต (E-Commerce) มากขึ้น และมีทีมมืออาชีพในการช่วยเหลือพาร์ตเนอร์กระตุ้นยอดขายเพื่อช่วยให้ยอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง NCP จึงเปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ที่เข้าไปสนับสนุน Digital Transformation เพื่อให้การดำเนินธุรกิจและการให้บริการลูกค้าเหมาะสมในยุคดิจิทัล ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ E-Commerce มีผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ NCP มีฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมากกว่า 5 ล้านรายชื่อ โดยบริษัทมีคู่ค้าพันธมิตรที่ขายสินค้าผ่านช่องทางการขายของบริษัท มากกว่า 67 ราย มีผลิตภัณฑ์สินค้าที่จัดจำหน่ายมากกว่า 90 แบรนด์ 446 รายการ แบ่งกลุ่มสินค้าหลัก เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (House Brand) ภายใต้แบรนด์สินค้า “BN” ที่มีสินค้าออกจำหน่ายแล้ว 21 ผลิตภัณฑ์
เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ให้สามารถรองรับพนักงาน Telesales ได้ 200 ที่นั่งใหม่ ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 30 ล้านบาท, ก่อสร้างสถานที่ทำงานในเรือนจำ ตามการขยายโครงการคืนคนดีสู่สังคมในเรือนจำ 5 แห่ง ภายในปี 2569 จำนวน 10 ล้านบาท, พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย เพื่อประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการทำงาน ภายในสิ้นปี 2568 จำนวน 5 ล้านบาท และเป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 55 ล้านบาท
"การระดมทุนเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ครั้งนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสในการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะการลงทุนโครงการในอนาคต รวมถึงมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รองรับการขยายธุรกิจขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว"
ผลการดำเนินงานในช่วงปี 2564-2566 ของ NCP มีรายได้รวมอยู่ที่ 191.23 ล้านบาท 181.03 ล้านบาท และ 173.11 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.56 ล้านบาท 20.22 ล้านบาท และ 12.53 ล้านบาท ตามลำดับ โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิได้ที่ระดับ 13.25% 11.11% และ 7.24% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น NCP ล่าสุด ณ เวลา 12.32 น. อยู่ที่ระดับ 2.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 3.00% ในช่วงระหว่างเปิดการซื้อขายภาคเช้าราคาหุ้นดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 2.60 บาท ก่อนที่จะย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1.99 บาท มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 540.18 ล้านบาท