KEY
POINTS
ช่วง 3-4ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลกที่สร้างความปั่นป่วน ทำให้นักลงทุนสถาบันเริ่ม มองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ป้องกันความเสี่ยงได้ดี ส่งให้ราคาทองคำไต่ขึ้นมาตลอด 4ปีหลังการระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบันราคาทองคำปรับขึ้น 40% เฉลี่ย 10%ต่อปี แต่ปี 2567 ราคาทองคำปรับขึ้น 20% มากกว่าที่ผ่านมา
ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% เป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ในช่วงเช้าวันที่ 1 สิงหาคมตามเวลาประเทศไทย โดยนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดระบุว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นเร็วสุดในเดือนกันยายน 2567
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มราคาทองคำช่วงที่เหลืออีก 4 เดือนครึ่งจากนี้ ปัจจัยหลักที่่จะมีผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งนักวิเคราะห์ในตลาด 95%คาดว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนกันยายนและคาดจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้
ทั้งนี้ ราคาทองคำ (Gold Spot) เริ่มทดสอบระดับสูงสุดเดิมที่ 2,450 ดอลลาร์ต่ออนนซ์เมื่อคืนที่ 31 กรกฎาคม โดย MTS มองราคาทองคำกำลังเข้าสู่ขาขึ้น หลังจากราคาทองคำปรับลดลงในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ซึ่งการลดลงของราคาทองคำจะเป็นช่วงๆ หลังจากราคาปรับขึ้นตั้งแต่ต้นปี ทั้ง Gold Spot และทองในประเทศ ราคาปรับขึ้นมาแล้ว 20%
โดย Gold SPOT ปรับจากระดับ 2,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นระดับ 2,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้น จาก 33,000บาทสู่ระดับ 41,000บาท และแนวโน้มยังปรับตัวสูงขึ้นได้อีกจากปัจจัยข้างต้น คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะเห็นราคา Gold Spot อยู่ที่ 2,550-2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำในประเทศอยู่ที่ประมาณ 44,000 บาท
สำหรับความต้องการซื้อทองคำจะมาจาก 2หมวดคือ เครื่องประดับเพชรพลอย(Gold Jewelry) เมื่อราคาทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นแรงซื้อจะลดลง 10-20% แต่แรงซื้อจะยังแข็งแรงในหมวดลงทุนและการออม เพราะประชาชนจะเปลี่ยนลักษณะมาออมมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 30%ถือว่าเป็นระดับปานกลาง หากเทียบก่อนหน้าเคยสูงเป็น 100-200%
ขณะที่ความต้องการในตลาดโลกยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทั้งแรงซื้อทองคำที่จะเพิ่มขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งสถาบันและเฮดจ์ฟันด์ยังมีแรงซื้อและขายต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารกลางหยุดซื้อทองคำไม่ได้สะท้อนว่า เป็นการหยุดการซื้อ แต่เป็นการเข้าซื้อในจังหวะราคาทองย่อต่อเหมือนๆกับผู้ออมและผู้ลงทุน
สอดคล้องกับนายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี กรรมการสมาคมค้าทองคำและกรรมการบริษัท ห้างขายทอง จินฮั้วเฮง จำกัดกล่าวว่า ตลาดเริ่มมองว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมวันที่ 18 กันยายน และเฟดยังเหลือรอบการประชุมอีก 3 ครั้ง ซึ่งตลาดคาดว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 2ครั้งในปีนี้และในปีหน้า ต้องติดตามท่าทีของเฟด ซึ่งหากเฟดทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงอีกเชื่อว่า ราคาทองคำจะขยับขึ้นได้อีก
ทั้งนี้ หากดอกเบี้ยลดลง จะทำให้ผลตอบแทนจากเงินออมลดน้อยลง ซึ่งคนที่ถือเงินดอลลาร์อาจจะเปลี่ยนมาถือทองคำแทน จึงอาจเห็นหุ้นหรือทองคำปรับขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนจะมองความปลอดภัยในทองคำ ขณะเดียวกันเริ่มมีกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของโลกมองว่า อีก 2ปีข้างหน้ามีโอกาสจะเห็นราคา Gold Spot แตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ระหว่างปีนี้และปีหน้า GoldSpot จะอยู่ที่ 2,600-2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
"ราคาทองคำปัจจุบันอยู่ที่ 2,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าอีก 2ปีข้างหน้าจะปรับขึ้นมาเป็น 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก็มีโอกาสสูง เพราะปีนี้ราคาทองคำ Gold Spot ปรับขึ้นมา 350 ดอลลาร์หรือ 20% ซึ่งเป็นไปได้ที่จะเห็น 2,800 ดอลลาร์ แต่ต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น เฟดจะต้องมีความถี่ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย"นายวรชัยกล่าว
อย่างเรก็ตามเมื่อเทียบข้อมูลย้อนหลัง 4ปี ระหว่างสัดส่วนการถือครองทองคำของนักลงทุนและธนาคารกลางนั้น พบว่า นักลงทุนมีสัดส่วนมากกว่า 2เท่าของธนาคารกลาง แต่ 2ปีให้หลังกลับพบว่า ทั้งนักลงทุนและธนาคารมีสัดส่วนถือครองทองคำในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮงกล่าวว่า หากเทียบราคาทองคำปัจจุบันที่ปรับขึ้นไปกว่า 40,000 บาทต่อบาททองคำอาจจะมองว่าแพงแล้ว แต่ถ้าเทียบจากต้นทุนดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงและกำลังจะปรับลดแล้ว มีแต่จะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นจากนี้ไป
ดังนั้น แม้ราคาทองคำจะแพง แต่ส่วนตัวมองว่า จะเป็นค่านิยมใหม่ที่ต้องปรับความเข้าใจคือ หากราคาทองจะย่อลง ระดับราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 39,000 บาทปลายๆ จะไม่หลุดไปกว่านี้แล้ว หากมีช่วงย่อลงก็จะเป็นจังหวะที่นักลงทุนเข้าซื้อได้
“ปีนี้เรามองราคาทองคำอยู่ในกรอบบน 2,500 ดอลลาร์หรือประมาณ 41,200 บาท ส่วนแนวรับน่าจะย่อลงประมาณ 2,280 ดอลลาร์หรือ 40,550 บาทเป็นจุดที่ถูกมาก แต่ถ้าดูจากตอนนี้ช่วงราคาย่อตัวลงใกล้ 2,350-2,400 ดอลลาร์ คนจะกลับเข้าไปซื้อใหม่ ดังนั้นราคาทองคำยังเป็นทิศทางขาขึ้นช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้า แนะนำให้อาศัยจังหวะที่ราคาย่อตัวลงแล้วทยอยเก็บ ส่วนตัวไม่อยากให้ไปไล่ราคาในช่วงที่ทำ ALL TIME HIGH”นายธนรัชต์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดเจนว่า การซื้อขายทองคำปีนี้ครึกครื้นกว่าปีอื่นๆที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุดแล้วและรอเวลาที่จะปรับลดลง ส่งผลให้คนทยอยซื้อทองคำ ประกอบกับปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขั้วอำนาจในระดับโลก
ทำให้คนหันเข้ามาซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น เพราะการลงทุนสินทรัพย์อื่นๆก็ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีและเศรษฐกิจโดยรวมยังหาที่จะไปลงทุนยาก เพราะว่าทุกคนเจอปัญหาเดียวกันคือเงินเฟ้อที่สูงและคนไม่ใช้จ่าย
ส่วนระดับประเทศธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มทยอยซื้อทองคำตามประเทศจีนและอินเดีย อย่างตุรกีและไทย ก็เข้าถือทองคำเพื่อลดความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งประมาณปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นสิงหาคมจะมีตัวเลขประกาศใหม่ของธนาคารกลางโลกถือครองทองคำ ซึ่งต้องตามดูว่า จะมีธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำมากน้อยแค่ไหน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,015 วันที่ 4-7 สิงหาคม พ.ศ. 2567