ตลาดหุ้นไทยบวก 18 จุด เด้งรับ GDP ไตรมาส 2/67 โต 2.3% การเมืองผ่อนคลาย

19 ส.ค. 2567 | 08:04 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2567 | 08:04 น.

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ 19 ส.ค.67 เด้ง 17.81 จุด รับปัจจัยบวกคลาดกังวลการเปลี่ยนถ่ายทางการเมือง-ตัวเลข GDP โต 2.3% ดีกว่าตลาดคาดไว้หนุนหุ้นค้าปลีก COM7 JMART ไฟแนนซ์ MTC JMT ธนาคาร KBANK รับเหมา CK รับอานิสงส์เชิงบวก วางกรอบแนวต้านสัปดาห์นี้ 1,330 จุด

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ 19 ส.ค.2567 ณ เวลา 14.57 น. อยู่ที่ระดับ 1,320.81 จุด เพิ่มขึ้น 17.81 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.37% ระหว่างช่วงระหว่างวันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,323.23 จุด ก่อนที่จะย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,302.97 จุด มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 47,434.63 ล้านบาท 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การที่ตลาดหุ้นไทยเปิดวันแรกของสัปดาห์นี้สามารถยืนแดนบวกได้ เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. ความผ่อนคลายทางการเมือง หลังจากที่ รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา สิ้นสุดลง ทำให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งจากโหวตเลือก “นายกฯ คนที่ 31” ก็ได้ข้อสรุปว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคเพื่อไทย ยังเป็นแกนนำรัฐบาลต่อไป แสดงให้เห็นว่าภาวะเปลี่ยนถ่ายทางการเมืองไม่ได้ตกอยู่ในสุญญากาศอย่างที่หลายฝ่ายกังวลกันไว้ก่อนหน้านี้ และสามารถดำเนินการได้เร็วเพียง 1 สัปดาห์ อีกทั้งภาตใต้การอยู่ในชุดรัฐบาลที่เป็นขั่วเดิมทำให้เชื่อว่านโยบายอาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก และหากว่าโครงการดิจิทัลวอลเลตถูกยกเลิกก็เชื่อว่า รัฐบาลชุดใหม่จะมีนโยบายอื่นๆ ขึ้นมาทดแทน เพื่อเป็นการชดเชย
  2. จากการที่ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของไทยในไตรมาส 2/2567 ออกมาขยายตัว 2.3% ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.5% ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดหันไว้ประมาณ 2.2% สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าการบริโภคเอกชน ขยายตัว 4.0% ย่อตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ราว 6% กว่า แต่ยังเป็นผลที่พอเข้าใจได้เพราะไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นโลวซีซัน ขณะที่ปริมาณการส่งออกบริการบวกกว่า 19.8% สอดคล้องตามการขยายตัวของการท่องเที่ยว โดยปัจจุบันยังคงมีสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2567 อีกด้วย

หากว่ายังคงตัวเลขเป้าหมายนักท่องเที่ยวเข้าไทยไว้ที่ 35 ล้านคน ด้วยครึ่งแรกปีนี้ตัวเลขเผยออกมาได้ค่อนข้างดี ทำให้มีแนวโน้มว่าอาจมีการปรับตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีหลัง และสิ้นปี 2567 นี้ จะขยายตัวเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะเป็นอีกทางที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ตัวเลข GPD ในไตรมาส 2/2567 ในด้านสาขาขนส่ง ขยายตัว 8.1% สาขาการค้า ขยายตัว 3% และสาขาการเงิน ขยายตัว 1.9% แต่อาจต้องให้การระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องการส่งออกไว้ด้วย เพราะด้วยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.6 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ทิศทางเงินบาทอยู่ในโซนแข็งค่ากว่าเดิม ทำให้อาจเป็นปัจจัยเชิงลบกัยการส่งออก

ส่วนเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่ปรับลดลงในไตรมาส 2/2567 ได้แก่ การลงทุนรวม ยังคงติดลบ 6.2% โดยการลงทุนเอกชน ติดลบ 6.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐติดลบ 4.3% จากนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะหามาตรการต่างๆ เรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังปี 2567 นี้ และปี 2568

จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้มองว่าด้วยตัวเลข GDP ที่ขยายตัวดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในสาขาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้มองว่าจะส่งอานิสงส์เชิงบวกกับหุ้นกลุ่มค้าปลีก ไฟแนนซ์ ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และการส่งออก เป็นต้น

โดยกลุ่มค้าปลีก แนะนำ COM7 เนื่องจากเข้าใกล้ช่วยการเปิดตัวโมเดล Iphone ใหม่ ทำให้เริ่มเห็นแรงเก็งกำไรเข้ามาบ้างแล้ว, กลุ่มไฟแนนซ์ การที่ GPD ในประเทศตัวเลขมีการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่ากลุ่มไฟแนนซ์ก็ดูมีความหวังมากขึ้น ตัวเลข NPL จะกลับมาอยู่ในระดับที่ต่ำลง แนะนำ MTC เพราะจำนำทะเบียนรถเป็นสินเชื่อที่กลุ่มรากหญ้าเข้าถึงได้มากที่สุด

อีกทั้งจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นยังส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อโอกาสในการเรียกเก็บหนี้ที่ดีขึ้นด้วย มอง JMT จะได้รับผลประโยชน์ดังกล่าว รวมถึง JMART ด้วย, กลุ่มธนาคาร แนะนำ KBANK ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการใหม่ๆ จากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง แนะนำ CK รวมถึงยังได้รับผลบวกจากบริษัทย่อย CKP ที่จ่ายไฟฟ้าได้มากขึ้น จากฤดูฝนทำให้น้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้น

ในส่วนการส่งออก แนะนำ COCOCO เพราะเห็นสัญญาณหุ้นเป็นขาขึ้น โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีมานด์การส่งออกในประเทศจีนมีทิศทางขยายตัวสูง อีกทั้งจากการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องในปี 2568 ทำให้คาดว่าจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง

สำหรับกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 1,300 จุด และกรอบแนวต้านแรกที่ 1,320 จุด และกรอบถัดไปที่ 1,325 จุด โดยที่อาจดีดตัวไปไม่ถึง 1,330 จุดภายในวันนี้ แต่ทั้งสัปดาห์นี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้อยู่

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามต่อ คือ การประชุม กนง. ในวันพุธที่ 21 ส.ค. 2567 นี้ แต่เชื่อว่าด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาจทำให้ โอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ลดลง และอาจยังคงไว้ที่ระดับ 2.5% ต่อไป เชื่อว่าจุดนี้อาจไม่ได้เป็นแรงกระทบทำร้ายตลาดมากนัก