SET โชว์ไตรมาส 2/67 บจ. ปั้นกำไร 5.2 แสนล้าน โต 9.7%

26 ส.ค. 2567 | 11:18 น.
อัพเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2567 | 11:18 น.

"ภากร ปีตธวัชชัย" เปิดงบบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/67 ทำกำไรรวม 5.2 แสนล้าน เติบโต 9.7% จากปีก่อน รับอานิสงส์การท่องเที่ยวขยายตัว ราคาน้ำมันสูงหนุน ขณะที่ภาคอสังหาฯและก่อสร้าง รับผลกระทบตามปริมาณงานภาครัฐ-เอกชน ที่ลดลง

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 819 บริษัท คิดเป็น 95.7% จากทั้งหมด 856 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 มิถุนายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 พบว่า มี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 631 บริษัท คิดเป็น 77.05% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 เติบโตต่อเนื่อง โดย บจ. ใน SET มียอดขายเพิ่มขึ้น 8.4% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 8,964,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3%

ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเพียง 4.9% และ 6.0% ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 922,736 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 519,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% และ 9.7% ตามลำดับ

สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 มิถุนายน 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ในระดับคงที่ที่ 1.51 เท่า 

กำไร บจ. ประจำไตรมาส 2/67

“การท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ บจ. ภาคธุรกิจการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีกำไรดีขึ้น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ธุรกิจน้ำมันปรับดีขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ในครึ่งแรกของปี 2567 บจ. มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเติบโตได้ดี อย่างไรก็ดี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปริมาณงานภาครัฐ และเอกชนที่ลดลง” นายภากร กล่าว

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 212 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 221 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดย 6 เดือน ปี 2567 พบว่า บจ. รายงานกำไรสุทธิ จำนวน 152 บริษัท คิดเป็น 72% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด 

ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนปี 2567 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขาย 104,296 ล้านบาท และต้นทุนขาย 76,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% และ 5.6% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 28,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 19,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1%

ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 8,352 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.8% และ 80.5 % ตามลำดับ ซึ่งหากไม่นับรวมบริษัทจดทะเบียน 5 อันดับแรก ที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจากการ Turn around กำไรสุทธิจะเป็น 4,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8%

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนของปี 2567 บจ. มีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยพิจารณาจาก Gross Profit Margin  Operating Profit Margin  และ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 26.9% 8.0% และ 5.7% เพิ่มขึ้น 1.4% 2.0% และ 2.3% ตามลำดับ

“ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2567 ของ บจ. ใน mai ปรับตัวดีขึ้น บจ. มีการควบคุมทั้งต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารมาตั้งแต่ไตรมาสแรกในปีนี้ ทำให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น และหากพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ายอดขายเติบโตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรที่มียอดขายลดลงเล็กน้อย แต่หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิ เกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น มีเพียงกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีที่มีกำไรลดลง” นายประพันธ์กล่าว

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 333,749 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.76 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2566 ที่เท่ากับ 0.77 เท่า

ปัจจุบันมี บจ.ใน mai 221 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 329.40 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 337,943 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,639 ล้านบาทต่อวัน