นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดเป้าหมายปลายปีนี้ลงมาที่ระดับ 1,396 จุด จากเดิมที่คาดเป้าหมายปีนี้ที่ระดับ 1,466 จุด โดยซื้อขายบน Forward P/E 15.60 เท่า
โดยเป้าหมายดัชนีใหม่ที่ทางฝ่ายวิจัยปรับลดลงมายังไม่ถูกคำนวนรวมประเด็นเชิงบวกอย่างโครงการเงินดิจิทัล หรือการแจกเงิน ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล เพราะยังมีความไม่แน่นอน จึงมองว่าปล่อยให้เป็น Upside เสริมตลาดดีกว่า รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ ที่คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินใหม่หนุนตลาดหุ้นไทยได้
ทำให้มีลุ้นได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2567 กลับไปแตะที่ระดับเหนือกว่า 1400 จุดได้ ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยคาดหวังว่าการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ในรอบนี้จะหนุนให้มีเม็ดเงินเข้ามาไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ แต่ทางที่ดีหากเม็ดเงินสามารถขยายตัวขึ้นไปถึงระดับได้ 1.5-2 แสนล้านบาท มองว่านั้นจะดีกับตลาดหุ้นไทยได้มากกว่า
"มองว่ากองทุนวายุภักษ์คงจะทำให้ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนได้ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจากรอบนี้ไม่มีการลดอัตราภาษีนิติบุคคลของบจ. เหมือนในรอบแรก และประเทศยังมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องหนี้และสูงวัย รวมถึงมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยปัจจุบันโตกว่าในอดีตกว่า 10 เท่า จึงทำให้เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปตลาดต่ำกว่าในอดีตค่อนข้างมากหรือราว 0.6-1%"
นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัยยังคาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) รวมเติบโต 7.5% แม้แนวโน้มกำไรบจ. ครึ่งปีหลังจะได้ประโยชน์จากท่องเที่ยวและส่งออก แต่กลุ่ม Domestic ยังคงต้องพึ่งพิง Demand ภายในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าเป็นหลัก เช่น ธุรกิจก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย, สื่อโฆษณา และการเงินเพื่อการบริโภค ที่ภาพรวมยังดูไม่ค่อยดี
"ไทยต้องพึ่งอัตราภาคการบริโภค การส่งออก และการท่องเที่ยว แต่ตรงนี้จะไม่ทำให้เรามีมูลค่าในการขับเคลื่อนการเติบโตได้สูง เหมือนที่เคยได้ในอดีต ต้องหานิวเอสเคิร์ฟใหม่ การลงทุนภาครัฐ หายไปเลย การอัดฉีดเงินภาครัฐ แจกเงินดิจิตัล มันจะเป็นเพียงพายุหมุนในระยะสั้น แม้เป็นประเด็นหนุนทำให้ดีดขึ้นไปได้ แต่ระยะยาวก็เป็นเรื่องยากที่จะรักษาระดับการขยายตัวได้ต่อ"
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ และจีน ที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัว ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้มี Upside มาก ประมาณ 30-40 จุด ฉะนั้นกลยุทธ์หลังจากนี้อาจต้องเลือกเล่นเป็นรายตัว หรือเลือกเป็นรายอุตสาหกรรมมากขึ้น อาทิ กลุ่มคอมเมิร์ซ กลุ่มอาหาร และกลุ่มเฮลท์แคร์
ขณะเดียวกันปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามมีหลากหลายเรื่อง เช่น เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจเข้มข้นขึ้นหากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งปลายปีนี้จะส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบด้านลบตามไปด้วย, เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศเติบโตแบบชะลอตัว, เรื่องความมั่นคงทางการเมืองและการดำเนินนโยบายต่อเนื่องของภาครัฐ, เรื่องสงครามทั่วโลกที่ยังเป็นความเสี่ยง และเรื่องความท้าทายของการเปลี่ยนแพลตฟอร์มการค้าขายสู่ระบบ AI
ในด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ขณะนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อต่ำและการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยง แต่เราคาดว่ากนง. อาจลดดอกเบี้ยตามหลังสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4/2567
โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับดอกเบี้ยลดลง 0.75% รวม 3 ครั้ง หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในช่วงของการเติบโตแบบชะลอตัว และในปี 2568 มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงต่อ ขณะที่อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ค่อยๆ สูงขึ้น
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน (ตัวเลข ณ วันที่ 20 ส.ค. 67) สร้างผลงานรั้งท้ายตลาดหุ้นเอเชีย หากเปรียบเทียบผลตอบแทนบนสกุลเงินท้องถิ่น โดยให้ผลตอบแทน -6.1% เมื่อเทียบตลาดหุ้นในเอเชียที่มีผลตอบแทนสูงสองหลักขึ้นไป โดยตลาดหุ้นไต้หวันให้ผลตอบแทนสูงสุด +25%, ญี่ปุ่น +14% และเวียดนาม (ดัชนี VN30) +15% ขณะที่ตลาดหุ้นจีน -3.6%
ตลาดหุ้นไทย Underperform ต่อเนื่อง 2 ปีติด โดยในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 10-12% หลังกำไร บจ. ครึ่งปีแรกออกมาขยายตัวเพียง 3% (โตต่ำกว่าคาด) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดจะโต 14%
ผลจากการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่งออกมาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลยังโฟกัสอยู่ที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ขณะที่ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งเรื่องสินค้าราคาต่ำของจีนทะลักเข้าไทย ทำให้ธุรกิจ SME ของไทยมีปัญหา
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบบตั้งรับอย่างเต็มตัว เพื่อตั้งการ์ดรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหลายประเทศคู่ค้าของไทยที่เติบโตชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ต่างๆ เกิดความผันผวนได้
ล่าสุด ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่สัดส่วน 20% จากต้นปี 2567 ที่อยู่ราว 60-80% และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในสัดส่วน 80% ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม แนะให้ลดน้ำหนักการลงทุนจาก 13% เป็น 9%, ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จาก 12% เป็น 6%
ส่วนตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่น แนะขายไปก่อนหน้ายังไม่ให้น้ำหนักลงทุน ขณะที่หุ้นไทยให้น้ำหนักการลงทุนสัดส่วนต่ำ 2% ของพอร์ตรวม เป็นต้น
"เป้าหมายดัชนีปลายปี 67 เรายังไม่ได้รวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งยังต้องติดตามข่าวการปรับเปลี่ยนการแจกเป็นเงินสด คาดว่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ เบื้องต้นมีมุมมองว่าการแจกเงินสดเป็นการเติมเงินเข้าระบบที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ 0.3% จากที่คาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ระดับ 2.6% อย่างไรก็ดี เราหวังจะเห็นนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาลออกมาเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ"