กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) นับตั้งแต่ต้นปี 2567 และต่อเนื่องมาจนถึงกลางปี (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า มีสถานะขายสุทธิอยู่ที่ 117,031.49 ล้านบาท และในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีสถานะขายสุทธิอยู่ที่ 124,747.90 ล้านบาท ส่วนนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. ถึงวันที่ 3 ก.ย. มีสถานะขายสุทธิอยู่ที่ 5,177.99 ล้านบาท เฉพาะวันที่ 3 ก.ย.2567 สถานะขายสุทธิ 699.67 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า กระแสเงินลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่เปิดต้นปี 2567 เป็นต้นมา มีสัญญาณการทยอยซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าถูกกระจายออกไปทั้งตราสารหนี้ พันธบัตร NVDR และลงทุนในหุ้นไทย
หากว่าตัดเรื่อง Big lot ในหุ้นของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC จำนวน 76,107,368 หุ้น มูลค่ารวม 12,177.18 ล้านบาท ดูเหมืนอว่ายอดโดยรวมฟันด์โฟลว์ยังมีการซื้อสุทธิอยู่ แม้ว่าตั้งแต่เปิดสัปดาห์นี้ (2-3 ก.ย.) สถานะการลงทุนต่างชาติจะมีการขายออกมาอย่างต่อเนื่อง มองว่าหลักๆ เป็นผลมาจากดัชนี MSCI Rebalancing
ทั้งนี้ มองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2567 นี้ มีโอกาสที่จะได้เห็นการกลับมาของกระแสเงินลงทุนของต่างช่าติเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเทรนเงินบาทอยู่ในโซนแข็งค่า ประกอบกับมีโอกาสที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในกลางเดือนก.ย. นี้ เป็นครั้งแรก และอาจนำไปสู่การลงดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในปีถัดไป ทำให้ต่างต่างระหว่างเงินบาทและดอลลาร์แคบลง
ส่งผลให้กระแสเงินลงทุนต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะกระจายออกไปลงทุนยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทั้งนี้ การกลับมาในช่วงปลายปีนี้อาจยังไม่ได้เห็นความชัดเจนมากนัก แต่หากว่าปัจจัยภายในประเทศมีความเสถียรภาพสามารถเดินหน้าตามนโยบายที่วางไว้ได้ ในปีหน้าก็จะเห็นการกลับมาอย่างชัดเจนมากขึ้น
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ก่อน (26-30 ส.ค.67) เหมือนย้ำอยู่กับที่ เนื่องจากอยู่ในช่วงระหว่างรอปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน รวมถึงรอการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่มีความชัดเจน แต่ในสัปดาห์นี้ (2-6 ก.ย.67) ดูเหมือนว่าการดำเนินการต่างของรัฐบาลชุดใหม่จะมีความเป็นรูปร่างมากขึ้น ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้
และในสัปดาห์หน้า (9-13 ก.ย.67) เมื่อมีการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ก็จะไปถึงกระบวนการจะนำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนปฎิบัติหน้าที่ หลังจากนั้นจะมีการประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อเสนอร่างนโยบาย ต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งก็ต้องรอดูว่านโยบายใดที่ภาครัฐจะสามารถผลักดันออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศส่งท้ายปีได้
และที่ตลาดมีความหวังมาที่สุด คือ การกลับมาฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรที่เข้ามาช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาเป็นขาขึ้นได้ ทั้งนี้ ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนีแนวต้านปลายปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 1,450 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น ด้วยมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยว่าเป็นขาขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2567 ทำให้แนะนำถือเงินสดให้น้อยลง และลงทุนซื้อให้ให้มากขึ้น โดยกลุ่มหุ้นเด่นที่แนะนำยังคงเน้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศ การอุปโภค-บริโภค เป็นหลัก
ประกอบด้วย กลุ่มค้าปลีก แนะนำ CPALL CPAXT กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม แนะนำ OSP ICHI กลุ่มไฟแนนซ์ แนะนำ MTC กลุ่มแบงก์ แนะนำ KBANK KTB และกลุ่มเฮลท์แคร์ แนะนำ BDMS อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนีแนวต้านระยะสั้นไว้ที่ระดับ 1,370 จุด