ตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้น? ขานรับยุค "นายกอิ๊งค์"

10 ก.ย. 2567 | 04:47 น.
อัพเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2567 | 04:47 น.

หุ้นไทยยุคนายกอิ๊งค์ ใช้เวลาแค่ 16 วันทำการ ดัชนีปรับตัวเพิ่ม 128.13 จุด ขึ้นมายืนระดับ 1,431.13 จุด พีคสุดมูลค่าการซื้อขายทะยาน 1.07 แสนล้านบาท ทุบสถิติใหม่ปี 67 โบรกชี้ตลาดหุ้นไทยเป็นบวก พร้อมเตือนระวังแรงขายทำกำไร เส้นแนวต้าน 1,450 จุด

จากการเฝ้าสังเกตการณ์ตลาดหุ้นไทยวันที่ 9 ก.ย.67 ปิดตลาดที่ระดับ 1,431.13 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.49 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.24% ในช่วงระหว่างเปิดทำการซื้อขายตลาดทั้งวันดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,438.31 จุด และย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,417.68 จุด ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายกลับไม่เบาเลย ที่ระดับ 87,242.26 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.67 หลังจากสภามีมติเลือกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลาดหุ้นไทยก็ดีดตัวขึ้นรับข่าวดี ส่งผลให้สิ้นวันดังกล่าวดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,303.00 จุด เพิ่มขึ้น 13.16 จุด จากปิดตลาดวันก่อนหน้า มีมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 35,690.97 ล้านบาท และยังเห็นแรงการกลับมาซื้อของนักลงทุนต่างประเทศอ่อนๆ มูลค่า 334 ล้านบาท 

ต่อมาในวันที่ 19-23 และ 26 ส.ค. ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกกว่า 61.81 จุด ทะยานขึ้นมาสู่ระดับ 1,364.81 จุด

 

ทั้งนี้ ช่วงที่การฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่รายชื่อยังไม่นิ่ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวรอความชัดเจน ทำให้ในช่วงระหว่างวันที่ 27-30 ส.ค. และ 2 ก.ย.67 แกว่งตัวในแดนลบสลับบวก ปิดตลาดที่ระดับ 1,364.31 จุด, 1,365.72 จุด, 1,357.41 จุด, 1,359.07 จุด และ 1,353.64 จุด ตามลำดับ โดยมีมูลค่าการซื้อขาย ณ สิ้นวันดังกล่าวอยู่ที่ 43,499.35 ล้านบาท, 43,114.15 ล้านบาท, 35,396.55 ล้านบาท, 60,077.16 ล้านบาท และ 33,189.68 ล้านบาท

หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าการดำเนินการต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่จะมีความเป็นรูปร่างมากขึ้น ทำให้ตลาดฯ มีความคลายกังวลมากขึ้น และความคาดหวังใหม่ของตลาดทุนไทยก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ในช่วงระหว่างวันที่ 3-4 ก.ย. และ 5-6 ก.ย.67ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็กลับมาทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยในวันที่ 3-4 ก.ย.67 ดัชนีปิดตลาดไต่ขึ้นที่ระดับ 1,364.60 จุด และ 1,365.49 จุด มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 42,263.88 ล้านบาท และ 39,035.36 ล้านบาท

วอลุ่มเทรดสิ้นวันทะลุ 1 แสนล้านบาท

หลังจากนั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้สร้างความประหลาดใจอีกครั้ง หลังจากที่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และมีกำหนดนำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เดินทางเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ

ทำให้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.67 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 38.79 จุด ปิดตลาดที่ระดับ 1,404.28 จุด ยืนเหนือเส้นแนวต้านแรกไปได้อย่างสบายๆ โดยมีมูลค่าการซื้อขาย ณ สิ้นวันที่ 81,764.85 ล้านบาท ถัดมาในวันที่ 6 ก.ย.67 ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องอีก 23.36 จุด สิ้นวันปิดตลาดยืนเหนือที่ระดับ 1,427.64 จุด พีคที่สุดคือมูลค่าการซื้อขายสิ้นวันที่สูงกว่า 107,436.04 ล้านบาท เป็นสถิติสูงที่สุดในปีนี้

ดังนั้น หากนับตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.67 ที่ดัชนียืนที่ระดับ 1,303.00 จุด จนถึงวันที่ 9 ก.ย.67 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,431.13 จุด เท่ากับว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 128.13 จุด ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 16 วันทำการเท่านั้น!!

นักลงทุนต่างชาติหันกลับซื้อหุ้นไทย

มาดูในแง่ของมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า ในวันที่ 9 ก.ย.67 แม้ว่าทั้งสถาบันในประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ จะมีสถานะขายสุทธิที่ระดับ 2,965.15 ล้านบาท, 77.08 ล้านบาท และ 604.27 ล้านบาทตามลำดับ แต่นักลงทุนต่างประเทศกลับเป็นกลุ่มเดียวที่ยังคงเดินหน้าซื้อลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องอีกกว่า 3,646.49 ล้านบาท 

หากนับตั้งแต่วันที่ 1-9 ก.ย.67 พบว่า กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะซื้อสุทธิรวมที่ระดับ 19,142.08 ล้านบาท 

วันที่ 19 ส.ค.67 มีแรงขายสุทธิก้อนใหญ่ในกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ มูลค่ารวม 10,486 ล้านบาท แต่ภายในวันเดียวกันนั้น ทางตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาชี้แจงว่า เป็นผลมาจากรายการ Big lot ในหุ้นของ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้น หากไม่รวมรายการดังกล่าว ผู้ลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 1,690.63 ล้านบาท

ต่อมาในวันที่ 20-21 ส.ค.67 กระแสเงินลงทุนจากต่างชาติยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มูลค่า 1,789.41 ล้านบาท และ 756.41 ล้านบาท แม้ว่าในวันที่ 22 จะมีแรงขายออกมาอีกระลอก มูลค่า 849.47 ล้านบาท แต่ในวันที่ 23, 26-29 ส.ค.67 ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ มูลค่า 2,842.55 ล้านบาท, 553.07 ล้านบาท, 1,081.29 ล้านบาท 1,761.07 ล้านบาท และ 967.93 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 7,205.91 ล้านบาท

ถัดมาในช่วงระหว่างวันที่ 30 ส.ค. และ 2-4 ก.ย. 67 ผู้ลงทุนต่างชาติหันหลังกลับออกจากตลาดหุ้นไทย มูลค่ารวม 5,929.88 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3,187.27 ล้านบาท, 1,478.35 ล้านบาท, 699.64 ล้านบาท และ 567.65 ล้านบาท ทั้งนี้ ในวันที่ 5-6 ก.ย.67 ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนยังตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง มูลค่า 7,484.60 ล้านบาท และ 10,756.62 ล้านบาท ตามลำดับ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับมา ทำให้หน้าหุ้นกลุ่ม Big cap ทยอยขยับตัวเพิ่มขึ้นยกแผง ตามความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามารับไม้ต่อได้อย่างรวดเร็ว

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

อีกทั้งจากการที่ทีมกระทรวงการคลังยังคงเป็นคนเดิม ทำให้ในการจัดตั้ง "กองทุนวายุภักษ์" มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นความหวังใหม่ที่จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทย ถามว่าตลาดหุ้นไทยยังไปได้ต่อไหม ก็ต้องตอบเลยว่า Sentiment ยังไปได้ต่อ โดยเมื่อถึงระดับแนวต้านสำคัญที่ 1,450 จุด อาจต้องระวังแรงขายทำกำไร

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เผยว่า จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาดทุนเพิ่ม และเข้ามาหนุนราคาหุ้นไทยให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด

ด้วยความคาดหวังทั้งหมดทำให้เกิดแรงซื้อสะสมหุ้นไทยกันอย่างคึกคักในวันนี้ เพื่อเป็นการดักรอผลประโยชน์จากปัจจัยเชิงบวกจากนโยบายการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยความกังวลใจต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของฝั่งประเทศสหรัฐฯ ที่มีมากขึ้น ทำให้มองว่าโอกาสที่ธนาคารกลายสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในรอบนี้มีเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่า ในขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไป หนุนให้เริ่มมีเม็ดเงินลงทุนกระจายมาฝั่งตลาดภูมิภาคเอเชียมากขึ้นในระยะนี้

อย่างไรก็ดี คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2567 ยังคงมองไว้ที่แนวต้านสำคัญ 1,450 จุด โดยมองว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้หากดัชนีดีดตัวขึ้นไปแตะที่ระดับดังกล่าวได้ นักลงทุนอาจต้องระวังเกิดแรงขายทำกำไรด้วย