"ศรพล" ชี้ เฟดลดดอกเบี้ย การเมืองชัดเจน หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนก.ย.พุ่ง

10 ต.ค. 2567 | 10:14 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2567 | 10:19 น.

"ศรพล ตุลยะเสถียร" ชูเฟดลดดอกเบี้ยหุ้นฟันด์โฟลว์ เข้าตลาดเกิดใหม่ ชี้แววต่างชาติยังไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง หากกำไรบจ.ไตรมาส 3/67 ออกมาดี ซึ่งตามปกติแล้วกำไร บจ. มักสอดคล้องกับตัวเลขจีดีพี

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% เป็น 4.75-5.0%

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี เพื่อเป็นการทำให้ความเสี่ยงต่อเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้ออยู่ในจุดสมดุล โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงบวกแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession)

อีกทั้ง หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้น ASEAN ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ตามลำดับ

ส่วนของภายในประเทศนั้น ยังมีปัจจัยบวก อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนกันยายนสูงสุดในรอบ 22 เดือน

ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากพิจารณาจาก Sensitivity Analysis พบว่าหุ้นของบริษัทในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบเชิงลบต่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นของบริษัทในกลุ่ม domestic play และกลุ่มที่มีสัดส่วนนำเข้าเพื่อผลิตสูงที่อาจได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นในเดือนที่ผ่านมา
 

ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนก.ย. 67

ทั้งนี้ ณ สิ้นกันยายน 2567 SET Index ปิดที่ระดับ 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 64 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% โดยที่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร

ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนก.ย.67

พร้อมกันนี้ ในเดือนก.ย.67 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET จำนวน 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) และในตลาด mai จำนวน 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) และ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) เป็นต้น

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ในเดือนก.ย.67 ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนก่อนหน้า ทำให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 46,481 ล้านบาท

ด้าน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนก.ย. 67 อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า โดยที่อัตราเงินปันผลตอบแทนเดือนก.ย.67 อยู่ที่ระดับ 3.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.04%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)

ในเดือนก.ย.67 TFEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 707,472 สัญญา เพิ่มขึ้น 41.9% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 474,728 สัญญา ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures

นายศรพล ตุลยะเสถียร กล่าวเพิ่มเติมว่า มูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่มฯ) เฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai ในปี 67 นี้ มีโอกาสที่จะเติบโตดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ที่เฉลี่ยระดับ 53,331 ล้านบาท/วัน หลังจากในที่ในช่วงเดือนก.ย.67 ที่ผ่านมาวอลุ่มตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 62,503 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 26% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

ซึ่งก็มีความคาดหวังว่าด้วยปัจจัยในประเทศที่ยังเป็นบวกจะหนุนให้ในช่วงที่เหลือของปี 67 นี้ วอลุ่มตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือทรงตัวในระดับดังกล่าวไว้ได้ต่อไป ส่วนทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติคาดว่าจะยังมีทิศทางไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากกำไรบจ.ไตรมาส 3/67 ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งมองว่าตามปกติแล้วกำไร บจ. มักจะสอดคล้องกับตัวเลขจีดีพี