ตลาดหุ้นไทยวันนี้ แกว่ง Sideways กรอบ 1,460-1,480 จุด

11 ต.ค. 2567 | 03:06 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ต.ค. 2567 | 03:06 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด SET วันนี้ 11 ต.ค.67 “Sideways” ในกรอบ 1460-1480 จุด มองผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน-เงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงกว่าคาด หนุนโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น ส่วนในประเทศได้แรงหนุนจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ กลยุทธ์ยังคงมองเป็นจังหวะทยอยสะสม เน้นหุ้นที่คาดไตรมาส 3/67 งบดี

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทย ว่า คาด SET Index วันนี้ 11 ต.ค.67 แกว่ง “Sideways” ในกรอบ 1460-1480 จุด หลังวานนี้สหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่สูงกว่าคาด

เพิ่มความกังวลเรื่องแรงงาน ผสานกับเงินเฟ้อเดือน ก.ย. ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด จึงกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งในแดนลบ โดยตัวเลขเงินเฟ้อมีรายละเอียด ดังนี้

  1. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 2.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ลดลงจากเดือน ส.ค. ที่ +2.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่สูงกว่าคาดที่ +2.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
  2. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) สหรัฐฯ ขยายตัว 3.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือน ส.ค. ที่ 3.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และสูงกว่าคาดที่ 3.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน 

โดยแรงขับเคลื่อนของเงินเฟ้อสหรัฐฯ มาจาก ราคาค่าขนส่ง ที่เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อน, ราคาเครื่องนุ่งห่ม เพิ่มขึ้น 1.1% จากเดือนก่อน, ค่ารักษาพยาบาล ขยายตัว 0.7% จากเดือนก่อน, รถยนต์มือสอง ขยับขึ้นเล็กน้อย 0.3% จากเดือนก่อน แม้ว่าราคาพลังงานจะชะลอตัวลงในเดือนที่ผ่านมา

ผลจากตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดเล็กน้อย จึงเพิ่มโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยมากขึ้น โดยล่าสุดเครื่องมือ FED Watch Tool ให้โอกาสเดือน พ.ย. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดดอกเบี้ย 0.25% ด้วยความน่าจะเป็น 83% มากกว่าวันก่อนที่มองที่ระดับ 80%

ส่วนปัจจัยในประเทศ SET ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ ขณะที่ปัจจัยที่ควรให้น้ำหนักมากขึ้น คือ การรายงานงบไตรมาส 3/67 ซึ่งจะเริ่มทยอยประกาศในสัปดาห์หน้า ดังนั้นกลยุทธ์ในระยะสั้น เน้นตั้งรับหุ้นที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/67 เติบโตดี 

หุ้นแนะนำ

  • BCH ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 23.90 บาท ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดตอบรับปัจจัยความกังวลต่างๆ ไปมากแล้ว ขณะที่ในช่วงถัดไปคาดปลดล็อกในเชิงบวก จากทั้งประเด็นคูเวต ที่เชื่อว่ามีโอกาสจะได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลที่คูเวตจะส่งผู้ป่วยมารักษา เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านโรคเบาหวาน ผสานกับประเด็นประกันสังคม ที่ล่าสุดมีการตั้งอนุกรรมการฯ (เฉพาะกิจ) เพื่อทบทวนหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ โดยจะต้องเสร็จสิ้นใน 90 วัน โดยคาดจะจบในเชิงบวก
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV อีกทั้ง บริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ที่จะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน สำหรับภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ขณะที่ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ขณะที่ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ

ปัจจัยที่ต้องจับตา

11 ก.ย.      เงินเฟ้อ PPI ของ US, 
                 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ US