รายงานจากตลาดหลักทรัะย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยว่า จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ของบริษัทจดทะเบียนจำนวน 821 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 16.80 ล้านล้านบาท หรือ 97.8% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด (Total Market Capitalization) สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย มีมูลค่ารวมกว่า 5.18 ล้านล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 1.37% จากสิ้นปี 2566 โดยมูลค่าการถือครองหุ้นคิดเป็น 30.80% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด
ซึ่งข้อมูลล่าสุดถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2567 จำนวน 821 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 16.80 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 97.8% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด (Total Market Capitalization) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทยรวม 5.18 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 69,705 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.37% จากสิ้นปี 2566 จากปัจจัย
ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยขยับเพิ่มไปอยู่ที่ 30.80% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด ซึ่งสัดส่วนกลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2561 (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม)
และคาดว่ามูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 จะเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องจากสิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ทั้งจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวดธุรกิจโดย SET Index ปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 6.6% และจากการซื้อสุทธิกว่า 28,903.57 ล้านบาท ในเดือนกันยายน 2567
เมื่อพิจารณามูลค่าถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม 9 อุตสาหกรรม (นับตลาดเอ็ม เอ ไอ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรม) พบว่า ในช่วงเดือนสิงคาหม 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 กลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทจดทะเบียนในเอ็ม เอ ไอ โดยกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นด้วยมูลค่าสูงสุดที่ระดับ 2,021,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 401,762 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.80% จากสิ้นปี 2566
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าการถือครองหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
รองลงมา คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 907,488 ล้านบาท ลดลง 65,666 ล้านบาท หรือลดลง 6.75% จากสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดลง 6.13% จากปีก่อน
และกลุ่มบริการ โดยการถือครองหุ้นทั้ง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 3.81 ล้านล้านบาท คิดเป็น 73.54% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 877,201 ล้านบาท ลดลง 38,970 ล้านบาท หรือลดลง 4.25% จากสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดลง 4.36% จากปีก่อน
ขณะที่หมวดธุรกิจที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) มีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 1,355,303 ล้านบาท คิดเป็น 26.19% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ รองลงมา คือ หมวดธนาคาร (BANK) มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 753,715 ล้านบาท คิดเป็น 14.56% ของมูลค่าการ ถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 666,345 ล้านบาท คิดเป็น 12.87% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ โดยหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงอยู่ในอันดับ 1 ต่อเนื่องจากสิ้นปี 2566 โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ทั้ง 3 หมวดธุรกิจ มีมูลค่าถือครองหุ้นรวม 2.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 53.62% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างประเทศถือครองทุกหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีดังกล่าว โดยมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 3.89 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75.22% ของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศเป็นการถือครองหุ้นที่อยู่ในองค์ประกอบของ MSCI Thailand Index ใกล้เคียงกับ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566
จากข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 พบว่า มีนักลงทุนต่างประเทศจำนวน 122 สัญชาติถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย เท่ากับปีที่ผ่านมา (แต่มีการเปลี่ยนแปลงสัญชาติ) นักลงทุนต่างประเทศที่มีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 10 สัญชาติแรก มีมูลค่าถือครองหุ้นรวม 5.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 97.0% ของมูลค่าการถือครองหุ้นทั้งหมดของนักลงทุนต่างประเทศ
ผลสำรวจพบว่า 5 อันดับแรก ยังคงเป็นสัญชาติเดียวกันกับปีก่อนแต่มีสลับอันดับ ซึ่งนักลงทุนจากสหราชอาณาจักรมีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด ตามมาด้วยนักลงทุนจากสิงคโปร์ ฮ่องกง สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา ขณะที่อันดับที่ 6 - 10 สลับอันดับจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ นักลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฝรั่งเศษ และมอริเชียส ตามลำดับ