Liberator ส่องตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่ง Sideways ชู BBL เด่น

18 ต.ค. 2567 | 03:50 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2567 | 03:50 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด SET วันนี้ Sideways กรอบ 1,485-1,500 จุด หลัง ECB ลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ส่วนสหรัฐฯ รายงานตัวเลขค้าปลีกและแรงงานที่ดีกว่าคาด หนุน DXY แข็งสุดรอบ 2 เดือนครึ่ง กลยุทธ์เน้นสะสมหุ้น Valuation ไม่แพง และกำไรดี แนะนำ BBL

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทย ว่า คาดวันนี้ 18 ต.ค.67 ดัชนี SET Index วันนี้แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,485-1,500 จุด หลังจากที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ตามคาด ถือเป็นการลดครั้งที่ 3 ในปีนี้

ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากยูโรโซน ลงสู่ 3.25%, ดอกเบี้ยเงินกู้ 3.65% และดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ 3.40% ซึ่งสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อยูโรโซน เดือน ก.ย. ที่ชะลอต่อเนื่อง ลงสู่ระดับ 1.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากเดือน ส.ค. ที่ 2.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน

ส่วนด้านสหรัฐฯ วานนี้ (17 ต.ค.67) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เช่น ยอดค้าปลีก เดือน ก.ย. ขยายตัว 0.4% จากเดือนก่อน สูงกว่าคาดเล็กน้อยที่ 0.3% จากเดือนก่อน ส่วนด้านตัวเลขภาคแรงงานก็แข็งแกร่งขึ้น โดยพบว่ายอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ล่าสุดอยู่ที่ 2.41 แสนราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 2.6 แสนราย และต่ำกว่าคาดที่ 2.59 แสนราย

จากการลดดอกเบี้ยของ ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือนครึ่ง และ Dollar Index ดีดขึ้นสู่ระดับ 103.79 จุด เข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 104 จุด

ส่วน SET ยังคงแข็งแกร่ง หลังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติม เช่น การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยวันนี้แนะติดตามการรายงาน GDP ไตรมาส 3/67 ของจีน ตลาดคาดที่ขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ลดลงจาก 4.7% ในช่วงไตรมาส 2/67
 

แนะนำหุ้นเด่น

  • BBL ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 170.00 บาท รายงานกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 12,476 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน สูงกว่าตลาดคาด 6% แรงหนุนจากส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ดีกว่าคาด ผสานรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเร่งขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน รวมทั้งมีการตั้งสำรองที่ลดลง 21% จากไตรมาสก่อน สะท้อนภาพรวมคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้น ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายเพียง PBV 0.53 เท่า และคาดอัตราการจ่ายปันผลสูงราว 4.6% ต่อปี น่าทยอยสะสม
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV โดยบริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 69 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ส่วนภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 ขณะที่ในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล สำหรับ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน

ปัจจัยที่ต้องจับตา

18 ต.ค.      ยอดสร้างบ้าน สหรัฐฯ, ใบอนุญาตการก่อสร้าง สหรัฐฯ, 
                 ดัชนี CPI ของญี่ปุ่น,
                 GDP ไตรมาส 3/67 ของจีน, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีน, ยอดค้าปลีกจีน